กรุงเทพฯ--26 ม.ค.--แบรนด์ เวลท์
บริษัท สากล เอนเนอยี (จำกัด) มหาชน หรือ " SKE " หนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เดินหน้าต่อยอดตามแผนธุรกิจลงทุนในพลังงานทดแทนอย่างครบวงจร ล่าสุด! เทคโอเวอร์ธุรกิจผลิตก๊าซ CBG เจาะตลาดโรงงานขนาดใหญ่-ขนาดกลาง ที่มีน้ำเสียจากกระบวนการผลิตมาบำบัด และ นำมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของเสียจากโรงงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สากล เอนเนอยี (จำกัด) มหาชน หรือ "SKE" กล่าวว่า "ในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่าธุรกิจหลักจะเติบโตจากปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เนื่องจากการขยายตัวของโลจิสติกส์ และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ เช่น การจัดตั้งเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัด 6 พื้นที่ เพื่อรองรับ AEC , การลงทุนในโครงการ EEC เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ ปริมาณการนำเข้าและส่งออกที่เพิ่มขึ้น มีผลให้มีความต้องการใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับประโยชน์โดยตรงจาก การปิดซ่อมบำรุงสถานีอัดก๊าซของปตท. ที่ปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา ประมาณ 1 ปี ทำให้สถานีอัดก๊าซของบริษัทฯซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน มีปริมาณการอัดก๊าซเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้ดำเนินการศึกษาธุรกิจพลังงานทดแทนที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอดจึงเป็นที่มาของการ เข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ คือธุรกิจการผลิตและจำหน่ายก๊าซ CBG บริษัทฯ ได้เข้าถือหุ้น 75% ในบริษัท อาร์อี ไบโอฟูเอลส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) มีขนาดกำลังการผลิตกว่า 3,000,000 กิโลกรัม / ปี โดยจะใช้ก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียของโรงงานแป้งมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตก๊าซ CBG โดยกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่โรงงานแป้งสำปะหลัง บ่อก๊าซชีวภาพ และ โรงงานผลิตและจำหน่าย CBG ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันทั้งหมดซึ่งเป็นกระบวนการบำบัด กำจัดและ ผลิตบนพื้นที่ของโครงการทั้งหมด จึงทำให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งกระบวนการ
โดยบริษัทจะจำหน่ายก๊าซ CBG ให้กับรถขนส่งที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ขายก๊าซฯ ให้กับ บริษัท ฟ้าสางวู๊ดชิพ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในบริเวณพื้นที่ตั้งของโครงการ 7,000 กิโลกรัม ต่อ วัน หรือ คิดเป็นจำนวนกว่า 2,310,000 กิโลกรัม ต่อ ปี เรียบร้อยแล้วจึงมั่นใจว่าจะเป็นรายได้เสริมที่ต่อเนื่องและมั่นคง ตามกลยุทธ์หลักของ SKE ทั้งนี้บริษัทฯใช้เงินลงทุนในโครงการนี้ประมาณ 80 ล้านบาท คาดว่าระยะเวลาในการคืนทุนประมาณ 5 ปี
อีกทั้งการลงทุนในครั้งนี้ยังได้รับการอนุมัติเงินทุนสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมการผลิตไบโอมีเทนอัด (CBG) ในสถานประกอบการที่มีระบบก๊าซชีวภาพจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นเงินจำนวน 12 ล้านบาทอีกด้วย และ ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และ เราคาดว่าธุรกิจการผลิตและจำหน่ายก๊าซ CBG มีอนาคตทางธุรกิจที่ดี ยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกจำนวนมากเนื่องจากมีโรงงานขนาดใหญ่ และขนาดกลาง อาทิ โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และ โรงงานอุตสาหกรรมอื่นกว่าอีก 1,000 แห่ง ที่มีน้ำเสียจากกระบวนการผลิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะสามารถนำมาผลิตก๊าซไบโอก๊าซ ซึ่งไบโอก๊าซ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลากหลายรูปแบบเช่น ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า , นำไปใช้ทดแทนเชื้อเพลิงอื่น เช่น น้ำมันเตา , LPG ที่มีราคาสูง หรือ นำมาผลิตเป็น CBG เพื่อใช้ทดแทน NGV ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการศึกษาว่าในพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีความเหมาะสมกับการนำไปใช้ในรูปแบบใดและได้ผลตอบแทนสูงสุด โดยมีเป้าหมายจะลงทุนในธุรกิจไบโอก๊าซไม่น้อยกว่า 5 โครงการภายในปี 2563
อนึ่ง เมื่อปลายปี 2560 บริษัทฯได้รับอนุมัติและมีมติให้ลงทุนในโครงการบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อ รูปแบบ Ex-Pipeline ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะเปิดสถานีบริการก๊าซ NGV ที่ จ.นครสวรรค์ ภายในไตรมาส 1 ปี 2562 ซึ่งรูปแบบการลงทุนสถานีบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อรูปแบบ Ex-Pipeline จะสร้างผลตอบแทนและผลกำไรที่สูงกว่าสถานีบริการก๊าซ NGV รูปแบบเดิม ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ คือ โครงการCBG และสถานีบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อรูปแบบ Ex-Pipeline เป็น 2 ธุรกิจใหม่ของ SKE ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่องให้กับธุรกิจหลักของ SKE ซึ่งเป็นการให้บริการรับอัดก๊าซให้กับกลุ่ม ปตท. ภายใต้สัญญาระยะยาวกว่า 20 ปี นอกจากนี้บริษัทฯยังมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลประกอบการและผลกำไรเติบโตให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป
ทั้งนี้บริษัทฯ ประกอบธุรกิจบริการอัดก๊าซ NGV ให้รถขนส่งก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท. จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีสถานีก๊าซธรรมชาติของบริษัท 2 สถานี คือ 1) สถานีก๊าซธรรมชาติหลักปทุมธานี 2) สถานีก๊าซธรรมชาติหลักสระบุรี ซึ่งมีกำลังการอัดก๊าซสูงถึง 750 ตัน/วัน บริษัทฯมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงมาโดยตลอด สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทฯมีรายได้ 247 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาทในปี 2560 ในงวด 9 เดือนของปีนี้ ซึ่งแม้นจะลดลงจากปีก่อน แต่บริษัทฯ ยังคงมีรายได้สม่ำเสมอและรักษาปริมาณการอัดก๊าซธรรมชาติมากกว่า ปริมาณขั้นต่ำตามสัญญาธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเอกชนที่ทำ กับ กลุ่มปตท.ซึงมีระยะเวลาสัญญานานถึง 20 ปี