กรุงเทพฯ--4 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
“เขาทำให้ฉันถึงกับต้องร้องกรี๊ด และเนื้อตัวฟกช้ำไปหมด ตอนที่เข้าฉากเลิฟซีนด้วยกัน คิดดูซิว่ามันบ้าขนาดในเมื่อในขณะที่เรากำลังนัวเนียกันอยู่บนเตียง ไคล์ฟ ก็ยังคงต้องกลิ้งตัวหลบกระสุน พร้อมยิงปืนใส่พวกศัตรูของเขาไปด้วย .. มันช่างเป็น เลิฟซีนที่สะบักสะบอมน่าดู ” โมนิก้า เบลลุคชี่ กล่าวถึงเบื้องหลังการถ่ายเลิฟซีนสุดทรหดระหว่างเธอและ ไคล์ฟ โอเว่น ในภาพยนตร์แอคชั่น
พันธุ์เดือดแห่งปีที่ใช้กระสุนปืนเยอะที่สุดในโลก Shoot ‘em up ( ยิงแม่งเลย ) หนังขวัญใจมหาชน อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่นักวิจารณ์อเมริกันมันสะใจไม่แพ้ภาพยนตร์เรื่อง Kill Bill ของ เควนติน ทแรนติโน และ Sin City ภาพยนตร์สุดเซอร์ของโรเบิร์ต รอดริเกวซ โดยฉากเลิฟซีนระหว่าง โมนิก้า และ ไคล์ฟ โอเว่น ถ่ายทำด้วยกล้อง 2 ตัว ใช้กระสุนประกอบในฉากนี้ไปถึง 1,000 นัด โดยเป็นกระสุนที่ มิสเตอร์สมิธ ที่รับบทโดย ไคล์ฟ โอเว่น ระเบิดใส่พวกมาเฟียที่มาคอยตามล่าเด็กน้อยที่เขาช่วยชีวิตไว้ โดยมี โมนิก้า คอยกลิ้งหลบกระสุนไปพร้อม ๆ กับเขาด้วย โดยฉากเลิฟซีนฉากนี้ได้ผู้กำกับภาพมือรางวัลจากออสการ์ ปีเตอร์เปา (Crouching Tiger Hidden Dragon ) มาถ่ายภาพเพื่อให้ภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาสวยสะใจผู้กำกับ ไมเคิล เดวิด
Shoot ‘em up เปิดฉากมันหยดติ๋งด้วยการดวลปืนสุดระห่ำของกลุ่มชายแปลกหน้าที่นำทีมโดย มิสเตอร์เฮิรท์ ( พอล จิอาแม็ตติ ) สมิธ (ไคลฟ์ โอเว่น) ชายไร้บ้านมาดเถื่อนเข้าไปมีเอี่ยวโดยบังเอิญ เขาช่วยชีวิตเด็กทารกคนหนึ่งไว้ได้ หลังจากที่แม่เด็กถูกยิงตาย แรกๆสมิธคิดว่าเป้าหมายของชายกลุ่มนั้นคือแม่เด็ก แต่ไม่นาน เขาก็รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือเด็กคนนี้ต่างหาก สมิธนำเด็กไปให้โสเภณีชื่อ ดีคิว (โมนิก้า เบลลุคชี่) ช่วยดูแล แล้วร่วมกันสร้างครอบครัวชั่วคราวขึ้นมา ขณะที่ต้องหนีสุดชีวิตจากการตามล่าแบบดุเดือดของพวกมือปืน ทางออกเดียวคือสมิธต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมพวกนั้นถึงอยากได้ตัวเด็กคนนี้นัก ไม่อย่างนั้น ชีวิตของทั้งเขา ดีคิว และเด็กก็ต้องตกอยู่ในอันตรายต่อไป หนังอุดมไปด้วยการใช้ปืนต่อสูแบบมันสุดขั้ว แต่ไม่ได้เน้นความสยดสยองแต่อย่างไร และฉากที่มันที่สุดคงหนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่าง สมิธ (ไคลฟ์ โอเว่น) ที่ใช้ปืนพกแบบ 2 มือ กับ มิสเตอร์เฮิรท์ ( พอล จิอาแม็ตติ ) ที่ใช้ปืนบาซูก้า เพื่อปกป้องทารกน้อยที่ สมิธ สะพายเขาไว้ในเป้ทหารด้านหลังตัว 20 กันยายนนี้ เปิดฉากยิงพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์
บทสัมภาษณ์ ไคลฟ์ โอเว่น จาก Shoot ‘Em Up
* ทำไมคุณถึงสนใจบทนี้
- เพราะมันเป็นบทที่ดิบที่สุดและแปลกใหม่ที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่าน ความจริงมันก็เป็นหนังแอ๊คชั่นอีกเรื่องหนึ่งของผม แต่เป็นแนวใหม่ เป็นหนังที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ที่ผมชอบบทเรื่องนี้อาจเป็นเพราะความฉลาดและอารมณ์ขันของมัน รวมทั้งฉากแอ๊คชั่นด้วย ผมชอบที่ตอนแรกเราคุยกันว่าจะไม่ซีเรียสกับมันเกินเหตุ แต่พอถ่ายจริง ปรากฎว่าเราทุ่มเทกันมาก เหมือนชื่อหนังน่ะ ยิ่งกันกระจาย แล้วเราก็พอใจกับมัน เราแค่อยากให้ทุกคนนั่งดูและสนุกกับมัน ถ้าใครเป็นห่วงเรื่องความรุนแรง ผมก็จะบอกว่ามันเป็นหนังรุนแรงที่ดีที่สุด รุนแรงแบบบ้าๆ แต่มันก็คือหนัง ไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตจริง เอามันส์เข้าว่า อย่าซีเรียส
* คุณแสดงฉากแอ๊คชั่นเองเกือบทั้งหมด ท้าทายแค่ไหน ยังไงบ้าง
- ผมฝึกหนักมาก ไมเคิล (ผู้กำกับ/เขียนบท) อยากให้ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครจริงๆ คือตัวละครของผมเนี่ย เป็นพวกบู๊ระห่ำและเก่งสุดๆ ทีนี้ไมเคิลเขาไม่อยากให้ฉากแอ๊คชั่นออกมาเจ๋งมาก แต่นักแสดงตัวจริงหลบอยู่ข้างหลัง หรือใช้ตัวแสดงแทนในฉากวิ่งหนีระเบิด ตรงกันข้าม เขาอยากให้ผมอยู่ในฉากนั้นเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าเป็นตัวละครตัวนั้น กำลังทำสิ่งนั้นอยู่จริงๆ ผมถึงต้องเข้าฉากเกือบทุกฉากซึ่งคุณจะได้เห็นในหนัง ผมถูกแกว่งไปแกว่งมาบนสลิงประมาณ 10 วัน และแสดงคิวบู๊ทั้งหลายตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าต้องใช้ร่างกายเยอะมาก
* ฉากแอ๊คชั่นฉากไหนที่คุณคิดว่ายากที่สุด เหนื่อยที่สุด
- ฉากโดดร่มครับ เป็นฉากที่ผมต้องกระโดดลงมาจากเครื่องบิน แล้วดวลปืนกับตัวร้ายกลางอากาศ ฉากนี้ยากและเหนื่อยมาก เพราะผมต้องโหนสลิง ถูกทีมงานดึงขึ้นดึงลงตลอดเวลา ความจริงมันเป็นความท้าทายทางร่างกายนะ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี
* งานนี้กินแครอทไปเยอะไหม แล้วยิงปืนทั้งเรื่องรู้สึกเมื่อยนิ้วบ้างหรือเปล่า
- ตัวละครของผมเป็นผู้ชายที่มีความสามารถด้านการยิงปืน เพราะฉะนั้นเขาก็เลยชอบกินแครอท เพราะมันดีกับสายตา งานนี้ผมก็เลยกินแครอทเยอะมาก จนบางครั้งต้องแอบขี้โกง ถ้าให้แสดงบท 2 หน้าแล้วมีกลิ่นปากเป็นกลิ่นแครอทแห้งนี่ก็ไม่ไหวนะ ส่วนเรื่องนิ้ว ไม่เมื่อยหรอกครับ ผมใช้ปืนจนชินแล้ว ก็เลยไม่ยากเท่าไหร่
* แล้วด้านการแสดงอารมณ์ล่ะ ท้าทายไหมในการรับบทเป็นผู้ชายเถื่อนๆแบบนี้
- ความจริงก็สบายๆนะครับ เรื่องนี้ไม่ได้ต้องเค้นอารมณ์มาก ที่ท้าทายกว่าคือฉากแอ๊คชั่น เพราะเราใส่กันแบบไม่ยั้ง ยิงกันกระจุย ผมว่าการแสดงฉากแอ๊คชั่นพวกนี้ท้าทายกว่ามากสำหรับเรื่องนี้
* คุณมีเกณฑ์การเลือกบทยังไง
- ผมไม่ชอบบทมิติเดียว อะไรที่ชัดเจนเกินไป หรือบทตัวดีที่ดีไร้ที่ติ ผมชอบอะไรที่มีความขัดแย้งในตัวมากกว่า และสิ่งที่ดึงดูดให้ผมชอบตัวละครนี้ก็คือ เขาเป็นผู้ชายสุดเท่ที่ไม่มีชื่อ แล้วเวลาไม่พอใจอะไรเขาจะแสดงออกทันที ผมชอบแสดงบทแบบนี้
* ยากไหมที่ต้องทำงานกับปืนและเด็กทารก
- ผมต้องฝึกใช้ปืนหลายชนิดมาก นั่นแหละที่ยาก ผมไม่ได้แค่จับปืนขึ้นมายิง แต่ต้องทำความคุ้นเคยกับปืนด้วย และไม่ใช่แค่ปืนแบบเดียว ตัวละครของผมใช้ปืนหลายแบบมาก ส่วนการทำงานกับเด็กก็ดีมากครับ ผมอยากให้เราสามารถเอาเด็กเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายกว่านี้ได้ เพราะเขาคือศูนย์กลางของฉากแอ๊คชั่น และแก่นเรื่องอยู่ที่เด็ก ที่น่าตลกคือคุณไม่มีทางสร้างหนังบ้าๆแบบนี้ได้ ถ้าคุณไม่เชื่อในฉากนั้นๆ ถึงมันจะไร้สาระก็เถอะ เด็กทำให้ผมรู้ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับการปกป้องเด็กคนนี้ไงล่ะ
* ยากไหมที่ต้องกลั้นหัวเราะตอนแสดงฉากเลิฟซีนกับ โมนิก้า เบลลุคชี่
- จะบอกให้นะ การได้ใกล้ชิดกับโมนิก้าขนาดนั้น ทำให้ผมตื่นเต้นมากเลยล่ะ
* แล้วเลิฟซีนเป็นยังไงบ้าง
- มันถูกออกแบบมาอย่างดี ไมเคิล (ผู้กำกับ/เขียนบท) วาดเป็นแอนิเมชั่นก่อน ผมดูหลายรอบแล้วถามเขาว่า นั่นมันทำได้จริงๆเหรอ ผมจะทำแบบนั้นได้เหรอ แล้วเราทำออกมาได้อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เป็นฉากที่สนุกที่สุดฉากหนึ่งของเรื่องนี้เลยล่ะ มันเป็นไอเดียที่บ้ามาก
* แล้ว พอล จิอาแม็ตติ ล่ะ ร่วมงานกับเขาเป็นยังไงบ้าง
- เขาเยี่ยมมากครับ ผมดีใจมากตอนที่รู้ว่าเขาตกลงแสดง เพราะผมคิดไม่ออกว่าใครจะรับบทนี้ได้ดีกว่าเขา พอลเป็นคนหนึ่งที่สามารถแสดงบทเถื่อนๆบ้าๆได้ โดยที่ไม่ดูเว่อร์เกินไป เขาเป็นนักแสดงที่ไม่ว่าบทจะตลกแค่ไหน เขาก็มั่นคง พอลเป็นศัตรูที่เหมาะสมกับสมิธ เพราะขณะที่สมิธเป็นคนนิ่ง เย็นชา พูดน้อย เก็บตัว เขาจะตรงข้าม คือใส่อารมณ์ พูดมาก ลุยแหลก
* ระหว่างหนังแอ๊คชั่นระห่ำแบบนี้ กับหนังแบบ Closer คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน
- ตอบยากครับ Closer เป็นหนังที่พิเศษสำหรับผม เพราะผมแสดงละครเวทีต้นฉบับ จึงเหมือนผมมีอดีตกับมัน ผมชอบถ่ายทอดบทพูดพวกนั้น แต่ถ้าสังเกตหนังทั้งหมดที่ผมแสดง คุณจะเห็นว่าผมชอบความหลากหลาย ผมชอบแสดงหนัง แต่ไม่ได้ชอบแนวไหนเป็นพิเศษ การได้แสดงในหนังที่มีบทดีๆ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
* โปรเจ็คต์ใหม่ของคุณตอนนี้คือเรื่องอะไร
- ตอนนี้ผมกำลังเดินหน้าโปรเจ็คต์หนังกับ ทอม ทึกเวอร์ ผู้กำกับจาก Run Lola Run และ Perfume บทหนังดีมาก เป็นหนังทริลเลอร์ย้อนยุคสมัยปี 70 ครับ
* คุณทำอะไรเวลาว่างจากงาน
- เอาจริงๆนะ ผมชอบอยู่กับลูกๆครับ (ลูกสาววัย 8 และ 10 ขวบ) ผมอยากอยู่กับพวกเขาให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมคิดถึงพวกเขามากตอนที่ไปถ่ายหนัง เพราะฉะนั้นการได้อยู่กับลูก ใช้เวลากับลูกจึงเป็นอะไรที่มีค่ามาก การทำงานทำให้เวลาของผมหมดไปเยอะ