กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--IR PLUS
บมจ. ชโย กรุ๊ป หรือ CHAYO ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ รวมถึงธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า พร้อมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 140 ล้านหุ้น หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินหน้าตามแผนคาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปีนี้ โดยเงินระดมทุนที่ได้จะใช้ประมูลซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (ส่วนใหญ่) จ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน สร้างการเติบโตธุรกิจอย่างโดดเด่นในอนาคต
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ CHAYO เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2561 และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 105 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อผู้บริหาร (ที่ไม่ใช่กรรมการ) และพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 7 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการะคุณของบริษัท จำนวน 21 ล้านหุ้น และเสนอขาย ต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท จำนวน 7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ปัจจุบัน CHAYO มีทุนจดทะเบียน 280 ล้านบาท มีทุนเรียกชำระแล้ว 210 ล้านบาท
CHAYO บริหารงานโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจโดยแบ่งธุรกิจเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่จะขยายธุรกิจไปยังธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในปี 2557 ต่อมาในปี 2559 บริษัทฯ ได้จัดตั้งธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าเพิ่มเติม เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่บริษัทฯ ให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ ภายหลังการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการซื้อกองหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเพิ่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ CHAYO มีความเชี่ยวชาญสูงอยู่แล้ว รวมทั้งผลักดันให้ผลประกอบการของ CHAYO เติบโตอย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง
ด้านนายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปประมูลซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนที่เหลือจะนำไปจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่น ต่อสถาบันการเงินและกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ในการบริหารงานและดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงการดำเนินงานต่างๆ ด้วยความโปร่งใส
"การแข่งขันในอุตสาหกรรมสำหรับธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต ดังนั้น CHAYO จึงต้องเตรียมความพร้อมด้านเงินลงทุน เพื่อประมูลหนี้ทั้งกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งแบบที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันซึ่งมีจำนวนมาก ส่วนธุรกิจให้บริการติดตามและทวงถามหนี้นั้น สถาบันการเงินหรือบริษัทในเครือของสถาบันการเงินยังมีความต้องการบริษัทหรือ Outsource ที่มีประสบการ์ณและความชำนาญในการติดตามทวงถามหนี้ อีกจำนวนมากเนื่องจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่นั้นมีบุคคลากร ในการทำงานด้านนี้ไม่เพียงพอ ประกอบกับการติดตามและทวงถามหนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชำนาญและอาจมีต้นทุนที่สูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนหรือติดตามเอง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทเอกชนเช่นเดียวกับบริษัทฯ ที่มีประสบการ์ณและความชำนาญมีอยู่น้อยราย และอาจมีข้อจำกัดในด้านเงินทุนจึงเป็นโอกาสที่ดี บริษัทฯ จึงมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจเดินหน้าตามแผนการเข้าระดมทุนที่คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ในปีนี้ โดยมี บล. เออีซี เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการเสริมศักยภาพบริษัทฯ ให้แข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในหุ้น Growth Stock ที่โดดเด่นอย่างยั่งยืนในระยะยาว" นายสุขสันต์กล่าว
นายสุขสันต์ กล่าวเพิ่มเติมถึง ทิศทางผลประกอบการของบริษัทฯ ปี 2561 คาดว่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับแผนการระดมทุนและแผนการลงทุนในปี้นี้ โดยในปี 2557 - 2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 53.90 ล้านบาท 141.23 ล้านบาท และ 197.14 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 162.02 ในปี 2558 และร้อยละ 39.59 ในปี 2559 และล่าสุดในไตรมาสที่ 3/2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 155.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.21 จากไตรมาสที่ 3/2559 โดยรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากการรายได้จากการให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 16.97 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานของธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ รวมไปถึงธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า ซึ่งเริ่มดำเนินงานหลังจากไตรมาสที่ 3 ปี 2559 เป็นต้นมา ขณะที่กำไรสุทธิย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2557 - 2559 อยู่ที่ 18.81 ล้านบาท 68.94 ล้านบาท 70.89 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 อยู่ที่ 45.27 ล้านบาท ตามลำดับ