กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์
วอลโว่ คาร์ ย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่แนะนำเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการแนะนำระบบ “อัลโคการ์ด” นวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่อาจเกิดจากการขับขี่ขณะมึนเมาเป็นรายแรกในตลาด ระบบอัลโคการ์ดสามารถตรวจจับแอลกอฮอล์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel-cell Technology) ซึ่งใช้ง่าย และไว้วางใจได้ ทั้งนี้ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) มีแผนจะนำระบบอัลโคการ์ดมาใช้ในรถยนต์วอลโว่ในปี 2551
มร.พอล สโตคส์ ประธานบริหาร บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อัลโคการ์ดเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจแทนผู้ขับขี่ในขณะมึนเมา เพราะเหตุว่าในปัจจุบัน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในยุโรปถึง 1 ใน 3 และมากกว่าครึ่งในประเทศไทย ล้วนมีสาเหตุมาจากการดื่มสุราแล้วขับรถ ดังนั้น ความท้าทาย 3 ประการในการสร้างสภาพแวดล้อมในการขับขี่ที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับวอลโว่ก็คือ เรื่องความเร็ว การไม่ใช้เข็ดขัดนิรภัย และเรื่องเมาแล้วขับ ระบบอัลโคการ์ดเกิดขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ขับขี่มึนเมาขณะขับรถโดยเฉพาะ”
ระบบอัลโคการ์ด จะได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมตามความต้องการของผู้ใช้รถ ในรถยนต์วอลโว่ S80, V70 และ XC70 ตั้งแต่ต้นปี 2551 และจะมีใช้ในรถยนต์ขนาดเล็กของวอลโว่ภายในเดือนสิงหาคม วอลโว่คาดหวังว่าจะมียอดจำหน่ายระบบดังกล่าวนี้ในรถยนต์ประมาณ 2,000 คันต่อปีและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต สวีเดนเป็นตลาดใหญ่ของระบบอัลโคการ์ดในปัจจุบัน แต่วอลโว่ คาร์มีแผนที่จะติดตั้งระบบนี้ในรถยนต์ที่จำหน่ายทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชียเช่นกัน ทั้งนี้ในช่วงแรก รถยนต์บริษัท รถยนต์โดยสาร และรถยนต์ของรัฐ น่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่ใช้ระบบอัลโคการ์ด ขณะเดียวกัน ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย น่าจะช่วยให้เจ้าของรถยนต์ทั่วไปสนใจติดตั้งระบบนี้เช่นกัน
ระบบอัลโคการ์ดใช้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel-cell Technology) ซึ่งตำรวจในยุโรปใช้กันมาก โดยก่อนที่จะสตาร์ทรถยนต์ ผู้ขับขี่จะต้องเป่าลมเข้าไปในอุปกรณ์ไร้สายขนาดเท่ากับรีโมทคอนโทรลขนาดเล็กซึ่งเก็บไว้ที่ช่องด้านหลังคอนโซลกลาง อุปกรณ์ดังกล่าวจะวิเคราะห์ลมหายใจของผู้ขับขี่และแปลงผลลัพธ์ออกมาเป็นสัญญาณวิทยุซึ่งจะส่งต่อไปยังระบบควบคุมไฟฟ้าของรถ หากระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมีมากกว่า 0.2 กรัมต่อลิตร ผู้ขับขี่จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ขณะเดียวกัน ด้วยระบบเซ็นเซอร์คุณภาพสูง ผู้ขับขี่จะไม่สามารถใช้ลมจากนอกรถหรือจากปั๊มกับอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้
“เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาสูง แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเซมิคอนดัคเตอร์ เพราะเซลล์เชื้อเพลิงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเอทานอลเท่านั้น เมื่อโมเลกุลของเอทานอลไหลผ่านแผ่นเซลล์ที่มีความละเอียดอ่อน กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในอุปกรณ์จะเป็นตัววัดระดับแอลกอฮอล์ หากมีกระแสไฟฟ้าสูง แสดงว่าในลมหายใจของผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก” มร.สโตคส์ กล่าว
ผลลัพธ์ของการทดสอบลมหายใจจะแสดงออกมาบนอุปกรณ์ขนาดพกพาในรูปของไฟ 3 สี โดยสีเขียวหมายถึง ผู้ทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับ 0.0 — 0.1 กรัมต่อลิตร สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ สีเหลือง หมายถึง ผู้ทดสอบมีปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับ 0.1 — 0.2 กรัมต่อลิตร สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ แต่ผู้ทดสอบลมหายใจไม่ควรเป็นผู้ขับขี่ และสีแดง หมายถึง ผู้ทดสอบมีปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับที่มากกว่า 0.2 กรัมต่อลิตร ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้
ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการทดสอบลมหายใจจะปรากฏที่หน้าปัดของรถ ทั้งผลลัพธ์ของการทดสอบ รวมถึง หากระบบต้องการตรวจอีกครั้งโดยอาจระบุให้ผู้ทดสอบพ่นลมหายใจให้ยาวขึ้นอีกที่อุปกรณ์พกพา ทั้งนี้ ผลการทดสอบจะถูกบันทึกไว้ 30 นาทีหลังจากดับเครื่องยนต์ ซึ่งผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องทดสอบลมหายใจทุกครั้งที่ดับเครื่องยนต์ในระยะสั้น การกำหนดมาตรฐานการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่เกิน 0.2 กรัมต่อลิตรนี้ เป็นไปตามกฎหมายของสวีเดน ส่วนในประเทศอื่นๆ วอลโว่ คาร์สามารถปรับเปลี่ยนให้ได้ตามกฎระเบียบที่อาจแตกต่างออกไป ขณะเดียวกัน หากผู้ซื้อรถยนต์รายต่อไป ไม่มีความประสงค์จะใช้ระบบดังกล่าวนี้ ผู้ขายสามารถเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ตรวจวัดออกได้โดยง่าย
ทั้งนี้ แม้ว่าอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จะเป็นอุปกรณ์ไร้สาย และผู้ขับขี่จะสามารถพกพาออกไปนอกตัวรถได้ แต่ผลของการตรวจวัดจะยังคงแม่นยำเสมอไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ที่ไหน หากแต่ในระยะ 10 เมตรเท่านั้นที่อุปกรณ์จะสามารถเชื่อมต่อกับระบบในตัวรถได้ โดยในอุณหภูมิห้อง ระบบจะใช้เวลาเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน 5 วินาที และเพื่อไม่ให้ผู้ขับขี่ต้องรอนาน ระบบปรับอากาศภายในรถจะทำงานทันทีที่รถยนต์ถูกเปิดล็อค และเพื่อให้ระบบอัลโคการ์ดสามารถทำงานได้ดีทั้งในสภาวะอากาศที่ร้อนจัดและเย็นจัด ผู้ขับขี่ควรใช้สายชาร์ทซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ระบบเตรียมไว้ให้
“เรามุ่งหวังที่จะสร้างระบบที่สะดวกและใช้งายง่ายที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ โดยไม่เรียกร้องให้ผู้ขับขี่ต้องทำอะไรที่ยุ่งยากขึ้น เพื่อที่ว่าเมื่อระบบนี้ใช้ง่าย และทำให้มีผู้ใช้มากขึ้นแล้ว ความปลอดภัยบนท้องถนนก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ” มร.สโตคส์ กล่าวต่อ
ขณะเดียวกัน ระบบอัลโคการ์ดของวอลโว่ถือเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมเท่านั้น ผู้ขับขี่จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย โดยใช้ข้อมูลที่ระบบอัลโคการ์ดเตรียมไว้ให้เป็นข้อมูลสนับสนุนเพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องที่สุด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในสภาวะที่อุปกรณ์สูญหาย ระบบอัลโคการ์ดยังได้จัดเตรียมฟังก์ชั่นสำรองไว้ให้ผู้ขับขี่ได้ใช้ โดยมีให้เลือก 2 แบบคือ แบบใช้ได้ไม่จำกัดครั้ง และแบบใช้ได้ครั้งเดียว
การติดตั้งและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบอัลโคการ์ดต้องทำโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของวอลโว่เท่านั้น ทั้งนี้ระบบอาจได้รับการรีเซ็ทหากฟังก์ชั่นสำรองถูกใช้งาน และทุกครั้งที่ระบบทำงาน ข้อมูลจะได้รับการจัดเก็บไว้ในรถยนต์และมีเพียงเจ้าของรถเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้
การพัฒนาระบบอัลโคการ์ดใหม่โดยวอลโว่ เป็นผลมาจากการที่เทคโนโลยีต่างๆ เริ่มมีราคาถูกลง ทว่ามีขนาดกะทัดรัดขึ้น และทำงานได้อย่างเที่ยงตรงขึ้น ขณะเดียวกัน ในการพัฒนาระบบอัลโคการ์ด วอลโว่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับทั้งหน่วยงานของรัฐ บริษัทประกันภัย รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้การพัฒนาระบบดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างดีที่สุด การพัฒนาระบบอัลโคการ์ดยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนส่วนหนึ่งจากโครงการ “ สกิลท์ฟอนเดน* ” ซึ่งอยู่ภายใต้หน่วยบริหารการขนส่งทางรถยนต์ของสวีเดน (ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากค่าธรรมเนียมป้ายทะเบียนรถยนต์อีกทอดหนึ่ง)
“ในอนาคต เรามุ่งหวังว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีสาเหตุมาจากการขับขี่ขณะมึนเมาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม นอกจากเทคโนโลยีใหม่ที่เราคิดค้นขึ้น การเปลี่ยนแปลงทัศนคติในเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ และเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ระบบอัลโคการ์ดให้มากขึ้น วอลโว่เชื่อว่า ราคาของรถยนต์ที่ถูกลง หรือเบี้ยประกันที่น้อยลงสำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่สามารถขับรถได้ในขณะมึนเมานี้ น่าจะเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย” มร.สโตคส์ กล่าวทิ้งท้าย
* สกิลท์ฟอนเดน เป็นผู้ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการพัฒนาเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนน เงินทุนของสกิลท์ฟอนเดนมาจากค่าธรรมเนียมของผู้ใช้รถ ซึ่งจ่ายเป็นค่าป้ายทะเบียนรถยนต์แบบที่สามารถเลือกเลขทะเบียนเองได้