กรุงเทพฯ--7 ก.พ.--สภาธุรกิจตลาดทุนไทย
ดร. สันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561 "ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ในภาวะร้อนแรงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากความเชื่อมั่นในเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศจากภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคและในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังเฝ้าจับตาการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธุรกิจส่งออก เป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่น สำหรับตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม ดัชนีฯมีการปรับตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นโดยดัชนีฯได้มีการปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์" โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน 2561) อยู่ที่ 156.62 อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" (Bullish) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 120 - 160) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.74% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 153.94
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยกลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศและกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงอย่างมาก ขณะที่กลุ่มสถาบันภายในประเทศและกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
ส่วนหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
ขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
"ภาวะการลงทุนในเดือนมกราคม ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นทำลายสถิติดัชนีปิดทำการสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยราคาปิดสูงสุดที่ระดับ 1838.96 จุดในวันที่ 24มกราคม 2561 โดยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศที่เป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดทุน จากตัวเลขเงินทุนไหลเข้าที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นและความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่มีการคาดการณ์การขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยIMF ปรับเพิ่มประมาณการ GDP โลกปี 2018-2019 เป็นขยายตัว 3.9% ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับร้อนแรง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายเงินทุนดังกล่าว นักลงทุนมองว่าเป็นปัจจัยฉุดการลงทุนเช่นกันจากผลกระทบต่อค่าเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคที่อาจกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในสหรัฐและยุโรป ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐยังคงมีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้จำนวน 3-4 ครั้งตามทิศทางดังกล่าว"
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกุมภาพันธ์ 2561
"ผลจากดัชนีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ระดับ 1.50% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจาก การขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจไทย และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงต่ำกว่ากรอบนโยบาย"
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนกุมภาพันธ์ 2561โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนกุมภาพันธ์นี้ อยู่ที่ระดับ 52 สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ1.50% ในการประชุมครั้งหน้า โดยให้น้ำหนักในปัจจัยหลัก 3ประการ ได้แก่ 1)การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สูงนัก 2) อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และ 3) อัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงินโลก
ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในช่วงประชุม กนง. รอบเดือนกุมภาพันธ์ 2561 (ประมาณ 11 สัปดาห์ข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 78 และ 87 ตามลำดับ ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5ปีปรับลดลงจากครั้งที่แล้ว (ระดับ 83) ในขณะที่ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ปรับขึ้นจากครั้งที่แล้ว (ระดับ83) ดัชนีทั้งสองอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงทิศทางที่เพิ่มขึ้นทั้งคู่ แต่ตลาดมีความมั่นใจที่มากขึ้นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี จะปรับสูงขึ้น โดยผู้ตอบแบบสำรวจให้ความสำคัญใน 4 ปัจจัยหลัก คือ 1) อุปสงค์ อุปทานในตลาดตราสารหนี้ไทย 2) Fund Flow 3) การคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และ 4) อัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย