กรุงเทพฯ--8 ก.พ.--แมสคอท คอมมิวนิเคชั่น
เมื่อวันแห่งความรักเวียนมาอีกครั้ง ไม่เพียงแค่การดูแลหัวใจตัวเองเท่านั้นที่สำคัญ แต่การดูแลหัวใจคนข้างๆ ที่เรารักให้แข็งแรงก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการดูแลหัวใจให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic Aneurysm) ก็เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ เพราะเป็นหลอดเลือดที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายที่ออกมาจากหัวใจ หากเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งหมดในร่างกาย
นายแพทย์อรรถภูมิ สู่ศุภอรรถ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก และผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า "หลอดเลือดแดงใหญ่มีความสำคัญมาก เปรียบเสมือนท่อน้ำหลักที่เลือดไหลผ่าน เฉลี่ยแล้วนาทีละ 5 ลิตร ดังนั้นไม่ว่าโรคใดก็ตามที่เกิดกับหลอดเลือดก็จะส่งผลไปทั่วร่างกาย และถึงแม้ปัจจุบันประชาชนจะมีความรู้มากขึ้นและวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่พฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบตะวันตก รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ จากข้อมูลสถิติพบว่า ผู้ชายอายุ 65 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองถึง 10-15%" การรู้จักดูแลตนเองและคนใกล้ตัวเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมช่วยให้หัวใจแข็งแรง ห่างไกลโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดย 10 เทคนิคดังต่อไปนี้ คือวิธีป้องกันโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองที่ทั้งคุณ ทั้งคนข้างๆ และไม่ว่าใครก็สามารถทำได้เช่นกัน
1.ตรวจเช็กหัวใจเมื่อเสี่ยง กลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ได้แก่ ผู้ชายอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ควรต้องพบแพทย์เพื่อทำ Screening Test หัวใจ โดยอัลตราซาวด์บริเวณช่องท้องหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่วงอกตามการวินิจฉัยของแพทย์ หากเป็นโรคนี้จะได้รักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่หลอดเลือดจะแตกหรือปริ ลดโอกาสเสียชีวิตได้สูงเป็นสิบเท่า
2.รู้ระวังสัญญาณเตือน ได้แก่ เจ็บหน้าอกบริเวณกึ่งกลางหน้าอกทะลุหลัง ปวดท้องบริเวณกลางท้องในลักษณะเต้นตุบ ๆ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ด้านหัวใจทันที
3.เลิกสูบบุหรี่ให้เด็ดขาด เพราะช่วยลดโอกาสหลอดเลือดแดงแตกลงถึง 4 เท่า ในผู้ที่ตรวจพบการโป่งพองของหลอดเลือด แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหรือต้องเข้ารับการผ่าตัด
4.รับประทานอาหารเสริมบำรุงหัวใจ เช่น ผักและผลไม้สด รวมทั้งสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม หากร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยวิตามิน เพราะการได้รับวิตามินบางชนิดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ที่สำคัญก่อนทานวิตามินควรปรึกษาแพทย์โดยละเอียด
5.เลี่ยงยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ ยาลูกกลอน ยาต้ม ยาหม้อ เพราะนอกจากไม่ทราบที่มาของส่วนผสมที่แน่ชัด ยังอาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิด
6.ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งส่งผลให้เป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองได้ ควรรู้จักจัดการกับความเครียดและหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ตนเองหรือคนใกล้ตัวเกิดความเครียด
7.เล่นกีฬาที่ใช่ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง จิตใจแจ่มใส โดยการออกกำลังกายในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ที่ตรวจพบแล้วว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรออกกำลังกายในระดับปานกลางที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ เดินป่าฯลฯ และหลีกเลี่ยงกีฬาที่ใช้แรงเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก ฯลฯ
8.ชากาแฟต้องพอดี เพราะคาเฟอีนมีผลต่อร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน ควรสังเกตร่างกายตนเอง และดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ไม่เกิดผลเสียกับหัวใจ แนะนำให้ดื่มไม่เกินวันละ 1 แก้ว
9.งดดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองมากขึ้น
10.หางานอดิเรกที่ชอบทำ จะช่วยให้ห่างไกลจากภาวะซึมเศร้า เติมเต็มชีวิตให้มีคุณค่าและมีความสุข มีหัวใจที่แข็งแรง โดยควรเลือกงานอดิเรกที่เหมาะสม เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ หรืองานอดิเรกที่ได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นและสังคม อย่างกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ ตามความถนัด
เพราะการดูแลหัวใจให้แข็งแรงควรใส่ใจทั้งตัวคุณเอง คนที่คุณรักและคนที่รักคุณ ในช่วงวาเลนไทน์นี้การส่งต่อความรักที่ดีอย่างหนึ่งคือชวนคุณพ่อคุณแม่หรือคนที่คุณรักและห่วงใยมาตรวจเช็กสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจต้องดูแลเป็นพิเศษ สำหรับใครที่มีความเสี่ยงแนะนำให้ตรวจเช็กตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่สำหรับใครที่ไม่มีความเสี่ยงแนะนำให้ตรวจเช็กหัวใจอย่างละเอียดตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อจะได้มั่นใจว่าจะได้อยู่กับคนที่รักไปนานๆ และถ้าหากตรวจ แล้วพบว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หรือพบว่าเป็นโรคหัวใจแล้ว การส่งต่อความรักที่ดีที่สุดคือการเป็นกำลังใจให้กันและกัน การมาพบแพทย์ก็ไม่จำเป็นต้องรับยากลับไปรับประทานเสมอไป แต่คนไข้จะได้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองและคนรอบข้างเพิ่มขึ้นอีกด้วย
สอบถามรายเพิ่มเติมได้ที่ รพ.หัวใจกรุงเทพ โทร. 02-310- 3000 หรือ Call Center โทร.1719