กรุงเทพฯ--8 ก.พ.--กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์
กลุ่มบิวท์ฯ เชื่อปีจอเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว มองมุมต่างธุรกิจรับสร้างบ้านยุค 4.0 เน้นต้องเพิ่มมูลค่าคุณภาพบ้านเป็นหลัก พร้อมเผยแผนปี 61 จ่อเปิดตัวแบบบ้านใหม่ล่าสุด 6 ดีไซน์ รองรับตลาดบ้านขายดีราคา 3-7 ล้าน ดันยอดขายทั้งกลุ่มปีนี้โตขึ้น 10%
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้านคุณภาพ ประกอบด้วย บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะครึ่งปีแรกภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศค่อนข้างชะลอตัวจากปัจจัยต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อหรือจองปลูกสร้างบ้านที่ชะลอตัวไปพอสมควร แต่ก็มากระเตื้องขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ในปีที่ผ่านมานั้น กลุ่มบริษัทฯทำยอดขายได้อยู่ที่ประมาณ 830 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ทำได้ดีพอสมควรถ้าเปรียบเทียบกับปี 2559 ที่ผ่านมาที่มียอดขายประมาณ 800 ล้านบาท แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เคยวางไว้ในช่วงต้นปี 2560 ที่คาดว่าจะมียอดขายทั้งกลุ่มบริษัทฯประมาณ 900 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2561 นั้น มองว่าเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดหวังว่าเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศจะมีการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่รอการฟื้นตัวมาเป็นเวลาพอสมควร ซึ่งในปีนี้คาดการณ์ว่าจีดีพีจะเติบโตได้ในระดับได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4.0% โดยปัจจัยบวกที่ผลักดันเศรษฐกิจและการลงทุนนั้นยังคงเป็นโครงการเมะโปรเจกต์ของภาครัฐบาลที่เกี่ยวกับการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะทำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมาจำนวนมากทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ในปี 2561 เป็นต้นไปและเชื่อว่าจะต่อเนื่องไปอีกหลายปี ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมถึงธุรกิจรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน
ด้านปัจจัยลบอื่นๆอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้างในเรื่องของแรงงาน เพราะเชื่อว่าหากเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าหมายและมีการผลักดันโครงการเมะโปรเจกต์ของภาครัฐอย่างเต็มกำลังแล้วนั้น จะทำให้มีความต้องการแรงงานอย่างมหาศาล ซึ่งในช่วงตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไปแรงงานจะเริ่มตึงตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อธุรกิจอสังหาฯและขีดความสามารถของธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายสุธี กล่าวต่อว่า สำหรับมุมมองกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านในยุค 4.0 นั้น ในส่วนของกลุ่มบริษัทฯเองก็ได้ดำเนินแผนงานให้สอดรับไปกับเทรนด์ยุค 4.0 และมีการปรับตัวให้เท่าทันกับยุคสมัยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมในงานก่อสร้าง ตลอดจนการให้บริการและการดำเนินงานทางการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อที่จะสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าได้ครอบคลุมและรวดเร็วมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยส่วนตัวแล้วมองว่ายุค 4.0 ของธุรกิจรับสร้างบ้านไม่ใช่แค่นำเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจกับกลุ่มลูกค้าให้เข้าถึงกันได้ง่ายและสะดวกมากขึ้นเพียงแค่นั้น เพราะถ้ามองกันให้ลึกแล้วอย่างที่ผู้ประกอบการกำลังนิยมอยู่ในขณะนี้ อย่างเช่น การนำเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินงานหรือการควบคุมการใช้งานต่างๆภายในบ้าน ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงๆแล้วก็ยังคงเป็นผู้ประกอบการ เพราะการอำนวยความสะดวกเหล่านี้ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงขึ้นตามมา ซึ่งก็เป็นภาระต้นทุนที่ผู้บริโภคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นตามลำดับ
"แต่ในยุค 4.0 ตามที่กลุ่มบริษัทฯคาดหวังไว้ คือ การที่เราสามารถเพิ่มมูลค่าของคุณภาพบ้านให้แก่ลูกค้าได้มากกว่างบประมาณที่ลูกค้าจ่ายไป อย่างเช่น ลูกค้าปลูกสร้างบ้านกับเราในราคา 3 ล้านบาท แต่สามารถได้รับมอบบ้านที่มีคุณภาพคุ้มค่าเกินกว่าราคาที่ลูกค้าต้องจ่ายไป ทั้งในเรื่องของมาตรฐานการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ฯลฯ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯ ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือและความไว้วางใจที่จะตัดสินใจซื้อหรือปลูกสร้าง รวมถึงผลกระทบหลังที่ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยตามมา จึงอยากให้ผู้ประกอบการมุ่งเน้นที่จะให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการในมูลค่าที่สูงกว่างบประมาณที่จ่ายไป เพราะการสร้างประสบการณ์ (Experience Marketing ) ให้ผู้บริโภคนั้นมีความสำคัญอย่างมากในยุค 4.0นี้ เพราะเป็นการทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดีกับบริษัท จนเกิดการจดจำ และผลที่ได้จะกลายเป็นการสร้างแบรนด์ อีกทั้งยังสร้างการบอกต่อ ซึ่งเป็นการทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืนมากกว่า"
ในด้านแผนการดำเนินงานในปี 2561 ของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ นั้น ยังคงเน้นรักษาระดับการเติบโตโดยวางเป้ารายได้เติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 8-10% หรือมีรายได้ประมาณ 900 ล้านบาท ควบคู่ไปกับแผนการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างบ้าน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจรับสร้างบ้านและเป็นนโยบายหลักของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งการบริการให้แก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจรทั้งก่อนและหลังการขาย ด้านแผนการตลาดยังคงเน้นในเรื่องของกิจกรรมที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีที่สุดอย่างกิจกรรม Site Seeing เพราะเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ณ โรงงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปและไซต์งานก่อสร้างจริง และให้ประโยชน์โดยตรงแก่ลูกค้า ทำให้เราได้รับการยอมรับแล้วไว้วางใจจนประสบความสำเร็จมาโดยตลอด และยังรวมถึงการเข้าร่วมออกบูธแสดงสินค้าประจำปีต่างๆที่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนั้นในปีนี้ยังเดินหน้าพัฒนาการดำเนินงานทั้งในส่วนของการทำกิจกรรมการตลาด การโฆษณา/ประชาสัมพันธ์กิจกรรมและข่าวสาร โปรโมชั่น ตลอดจนการให้บริการแก่ลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย ฯลฯ ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโซเชียลมีเดียให้สอดรับกับผู้บริโภคในยุค 4.0 ได้อย่างง่ายยิ่งขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ
และเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายให้มากขึ้นในปี 2561 นี้ กลุ่มบริษัทฯได้ออกแบบแบบบ้านใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "LOFT SERIES" จำนวนทั้งสิ้น 6 แบบ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 130 - 405 ตารางเมตร ในระดับราคาตั้งแต่ 3 – 7 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาบ้านที่กลุ่มบริษัทฯครองตลาดนี้อยู่จำนวนมาก ด้านออกแบบและดีไซน์ซีรีย์ใหม่ล่าสุดนี้จะมีความหลากหลายทั้งบ้านชั้นเดียว บ้าน 2 ชั้น และบ้านแฝด ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของลูกค้าตั้งแต่กลุ่ม Startup Family เป็นต้นไปจนถึงกลุ่มลูกค้าวัยผู้สูงวัย เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถอยู่ได้ในทุกยุคสมัย โดยกลุ่มบริษัทฯได้เน้นการออกแบบดีไซน์ให้ทันสมัย เรียบง่าย มีความสวย ซึ่งลักษณะเด่นอยู่ที่วัสดุที่ให้อารมณ์และความรู้สึกเป็นธรรมชาติ รูปทรงหลังคาและเพดานที่มีความสูง ทำให้บ้านดูปลอดโปร่ง โล่งสบายและกว้างขวางมากขึ้น และยังสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นภายในบ้านได้ตามต้องการ
"อย่างไรก็ดี กลุ่มบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การดำเนินงานในปี 61 ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะมีทิศทางเป็นอย่างไร เราเองในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้าน ควรตระหนักว่าหน้าที่สำคัญที่สุดคือการรักษาคุณภาพและมาตรฐานในการก่อสร้าง เพื่อให้ลูกค้าเกิดการยอมรับและไว้วางใจ ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเมื่อถึงเวลาที่ตลาดเริ่มฟื้นกลับมานั้น สิ่งแรกที่ลูกค้าใช้เป็นส่วนประกอบหลักในการตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้านคือความน่าเชื่อถือและผลงานในอดีตที่เป็นเครื่องหมายการันตี" คุณสุธีกล่าว