กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็น 'A+(tha)' จาก 'A(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ ของ SCC มูลค่ารวมไม่เกิน 3.0 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2565 ที่ 'A+(tha)' โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC เนื่องจากมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ SCC
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่ SCC แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่บริษัทฯ ได้รับจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ระหว่างธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมถึงสถานะการเงินที่ดีขึ้น ความแข็งแกร่งของธุรกิจเคมีภัณฑ์ประกอบกับค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลงในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์คาดว่า บริษัทฯ จะสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจและการเงินให้อยู่ในระดับที่ดีนี้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทฯ จะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยฟิทช์มองว่าอันดับเครดิตที่ 'A+(tha)' ยังคงเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับสถานะทางการเงินที่แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่อาจเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 3 เท่า ในช่วงที่มีการขยายการลงทุน
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลง – ฟิทช์คาดว่า SCC จะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ไว้ได้ในระดับต่ำกว่า 2.8 เท่า ในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า กระแสเงินสดจากการดำเนินงานจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมถึงความล่าช้าของการใช้จ่ายลงทุนในปี 2560 ส่งผลให้ FFO adjusted net leverage ลดลงมาอยู่ในระดับที่ 1.9 เท่า ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน และการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าบริษัทฯ จะรักษากระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีต่อไป น่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถรองรับแผนการลงทุนจำนวน 1.8-1.9 แสนล้านบาท ในช่วงสามปีข้างหน้าได้ โดยแผนการลงทุนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนที่ใช้ในโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ในประเทศเวียดนาม ในกรณีที่บริษัทฯ ไม่มีค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูง อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 2.0 เท่า
การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น – รายได้จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่เกิดจากการดำเนินการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ไม่รวมประเทศไทย) ในปี 2560 มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 21 ของรายได้จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างทั้งหมด จากเดิมร้อยละ 14 ในปี 2557 ฟิทช์คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25-30 ในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า การขยายโรงงานปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อไตรมาส 1 ของปี 2560 ซึ่งทำให้ SCC มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์นอกประเทศไทยรวม 10.5 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 31 ของกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในภูมิภาคจะรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งน่าจะสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการในช่วงสองปีข้างหน้า
การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย – อันดับเครดิตของ SCC ยังได้รับการสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น รวมถึงการลดความเสี่ยงเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง โดยในช่วงปี 2554-2555 ความต้องการปูนซีเมนต์ในตลาดภายในประเทศที่แข็งแรงได้ช่วยชดเชยวงจรธุรกิจขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี ในขณะที่วงจรธุรกิจขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านสามารถชดเชยความต้องการปูนซีเมนต์ในระดับภายในประเทศที่อ่อนแอ
สถานะความเป็นผู้นำตลาด – SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อันดับเครดิตของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดย SCC มีกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับกลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย (โพลีโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ฟิทช์คาดว่า SCC จะสามารถรักษากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ที่ระดับ 6.5-7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีอัตราส่วนกำไรดังกล่าวต่อรายได้ (EBITDA Margin) ได้ที่ระดับร้อยละ 14-15 ในปี 2561-2562 โดยกำไรส่วนใหญ่ของ SCC ในปี 2561 น่าจะยังคงมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ เนื่องจากธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะมีการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้า
ค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้น – ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของ SCC จะเพิ่มขึ้นเป็น 5-7 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงสามปีข้างหน้า จากเดิมที่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2559-2560 ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมาจากเงินลงทุนในโครงการ LSP ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2561 และมีการใช้เงินลงทุนต่อเนื่องจนถึงปี 2565 ทั้งนี้ ฟิทช์ได้รวมเงินลงทุนและหนี้สินของโครงการ LSP เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ SCC แม้ว่า SCC จะถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 71 ในโครงการดังกล่าว เนื่องจากฟิทช์คาดว่า SCC จะให้การสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่โครงการ LSP มีความล่าช้าหรือต้องใช้เงินลงทุนสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์คาดว่า SCC จะตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของโครงการ
ความผันผวนของธุรกิจ – อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่ SCC ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ SCC มีอิทธิพลในการกำหนดราคาที่จำกัด เนื่องจากสินค้าหลักส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งถูกกำหนดราคาโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในประเทศไทยที่จัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, 'A(tha)'/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO, 'A-(tha)'/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดย SCCC และ TASCO ประกอบธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว และ SCCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศต่ำกว่าบริษัทฯ SCC มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าทั้งสองบริษัท แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อกระแสเงินสดจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจาก SCC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่ามาก และมีการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต 'AA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, อันดับเครดิตโดยลำพัง 'AA-(tha)') ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย SCC มีขนาดธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่เล็กกว่า แต่ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม PTTGC มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ในปี 2561 โดยมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก และร้อยละ 7 ต่อปี ในปี 2562 โดยมาจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเป็นหลัก
- EBITDA Margin ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 14-15 ในปี 2561-2562
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 5-6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2561-2562
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ในปี 2561-2562
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิต นอกเสียจากว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์ในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบของโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม
ปัจจัยลบ:
- สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า อย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ดำเนินธุรกิจปกติโดยไม่มีการลงทุน หรือสูงกว่าระดับ 3 เท่า ในช่วงที่มีการลงทุนขยายธุรกิจ
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี: สภาพคล่องของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขโดยฟิทช์) จำนวนประมาณ 5.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 2560 บริษัทฯ มีหนี้ทั้งหมดจำนวน 2.1 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 87 เป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินบาท โดยประมาณร้อยละ 31 ของหนี้ทั้งหมดจะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
รายละเอียดของอันดับเครดิตของ SCC ทั้งหมด มีดังนี้
-- ปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) เป็น 'A+(tha)' จาก 'A(tha)'; แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
-- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F1(tha)'
-- ปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ที่ 'A+(tha)'
-- จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ มูลค่ารวมไม่เกิน 3.0 หมื่นล้านบาท ที่ 'A+(tha)'