กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--พีอาร์ดีดี
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 - วันที่ 31 มกราคม 2561 โดยจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยพร้อมกันในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อิควิตี้ (SCBGEQ) ในอัตรา 0.5088 บาทต่อหน่วย โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จำนวน 0.2913 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายงวดนี้ 0.2175บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 7 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 1.3761 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 14 ก.พ.2556)
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป (SCBEUEQ) ในอัตรา 0.4545 บาทต่อหน่วย โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จำนวน 0.2316 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายงวดนี้0.2229 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 7 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 1.1044 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 26 ก.พ.2557) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHA) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2440 บาทต่อหน่วย โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จำนวน 0.0494 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายงวดนี้ 0.1946 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 4 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 0.3231 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 13 ก.พ.2558)
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมากองทุนหุ้นต่างประเทศทั้ง 3 กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่เป็นบวก โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลอิควิตี้ (SCBGEQ) อยู่ที่ 11.80% ต่อปี มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ กองทุน Veritas Global Focus (กองทุนหลัก) ชนิดหน่วยลงทุน (share class) "C share class" ใน class ที่ลงทุนด้วยสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ (USD)
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป(SCBEUEQ) อยู่ที่ 4.02% ต่อปี ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ iShares STOXX Europe 600 (DE) ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHA) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ChinaAMC CSI 300 Index ETF มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 7.02% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.พ.2561)
"ตลาดหุ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี โดยได้ปัจจัยหนุนหลักๆ จากเศรษฐกิจโลกที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลกำไรของบริษัทประกอบการที่แข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และความกังวลด้านการเมืองในยุโรปที่ลดลง โดยภูมิภาคที่ให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่นคือเอเชีย ซึ่งได้แรงหนุนจากมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีน ในด้านของตลาดหุ้นยุโรปนั้นถูกกดดันจากความกังวลทางการเมืองจากการเลือกตั้งของฝรั่งเศสและเยอรมนี ความไม่แน่นอนในการเจรจาเพื่อออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร รวมถึงค่าเงินยูโรที่แข็งค่าซึ่งกดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นยุโรปยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีในปีที่ผ่านมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งภาพรวมการลงทุนในปี 2561 ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดความร้อนแรงลงมาบ้างแล้วในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา" นายสมิทธ์ กล่าว