กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--เอ็มที มัลติมีเดีย
'แอล เอช ฟันด์' ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่หรือ 'อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต' โดดเด่นรับเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเติบโต หนุนโอกาสเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดี สอดคล้องกับมุมมองของ Bank of New York Mellon,World Economic Outlook และวาณิชธนกิจชั้นนำอย่าง Goldman Sachs ที่คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ปี 2561 จะมีอัตราเติบโต 4.9% ด้านผู้บริหารดีเดย์เปิดขาย IPO กองทุนใหม่ 'แอล เอช อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต-E' ตั้งแต่วันนี้ – 27 ก.พ.นี้ ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ผ่าน American Century SICAV-Emerging Markets Equity เป็นกองทุนหลัก
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ แอล เอช ฟันด์ เปิดเผยว่า แอล เอช ฟันด์ มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หรือ 'อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต' (Emerging Markets) โดยมองว่าเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มนี้ อาทิ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน บราซิล แอฟริกาใต้ รัสเซีย อินเดีย มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะจีน อินเดียและเกาหลีใต้ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มนี้ สอดคล้องกับมุมมองของ Bank of New York Mellon (BNY Mellon) World Economic Outlook (WEO) และวาณิชธนกิจชั้นนำอย่าง Goldman Sachs ที่มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2561 กำลังเข้าช่วงปลายของการขยายตัว อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าวนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศในกลุ่มอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตในปี 2561 จะอยู่ที่ประมาณ 4.9%
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือ 1.มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว 2.บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต มีกำไรเติบโตในอัตราที่สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว 3.มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นบริษัทจดทะเบียน
ในอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ถูกกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว วัดได้จากค่า PE Ratio ในปี 2560 ที่ซื้อขายกันประมาณ 13.14 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 16.67 เท่า และ 4.กระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้าสู่ อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตตั้งแต่กลางปี 2559 เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเติบโตได้ดี กรรมการผู้จัดการ แอล เอช ฟันด์ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวจึงมองเป็นโอกาสดีของผู้ถือหน่วยลงทุนที่จะกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต จึงเปิดตัวกองทุนเปิดแอล เอช อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต-E หรือ LH EMERGING MARKETS – E FUND (LHEM-E) มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดขาย IPO ตั้งแต่วันนี้ – 27 ก.พ.นี้ กำหนดเงินลงทุนครั้งแรกและครั้งถัดไปขั้นต่ำ 5,000 บาท และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 12 ครั้ง โดยเป็นกองทุน Feeder Fund ที่จะเข้าลงทุนใน American Century SICAV-Emerging Markets Equity ชนิดหน่วยลงทุน I Share Class เป็นกองทุนหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน
ขณะที่กองทุน American Century SICAV-Emerging Markets Equity ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่จะเข้าลงทุนนั้น บริหารเงินลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนจาก American Century Investment Management ที่มีประสบการณ์เฉลี่ย 19 ปี โดยมีจุดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom-up เพื่อคัดเลือกหุ้นจำนวน 80-100 บริษัท และเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีทิศทางการเติบโตของกำไรเป็นแนวโน้มขาขึ้นและมีกำไรเติบโตสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด
"กองทุนเปิดแอล เอช อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต-E เป็นกองทุนที่ 2 ที่เราเปิดตัวในปีนี้ต่อจากกองทุนแอล เอช โรโบติกส์-E ที่ได้รับการตอบรับที่ดี โดยทิศทางของ แอล เอช ฟันด์ในปีนี้ จะเพิ่มความถี่การเปิดตัวกองทุนมากขึ้นและเน้นขยายพอร์ตกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ทั้งกองทุนมีนโยบายลงทุนในแต่ละภูมิภาคหรือเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนภายใต้กลยุทธ์ Assets Allocation ที่จะให้คำแนะนำการลงทุนแก่ผู้ถือหน่วยกองทุน แอล เอช ฟันด์ ทุกๆ ไตรมาสเพื่อกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทและลดผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ" นายมนรัฐ กล่าว