กรุงเทพฯ--23 ก.พ.--IR PLUS
ASEFA เร่งแผนขยายการลงทุน ตั้งเป้าหมายเติบโต 15% "นายไพบูลย์ อังคณากรกุล" กรรมการผู้จัดการ เปิดแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้โต 15% พร้อมเข้าร่วมประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตุน Backlog 2,000 ล้านบาท
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร ตลอดจนระบบบริหารจัดการและอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2560 บริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม จำนวน 253.38 ล้านบาท ลดลง 12.08% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 288.23 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 10.24% เป็น 8.99% โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 2,808.26 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 2,799.63 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 25.14% เป็น 23.36%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากลักษณะงานของบริษัทเป็นงานโครงการอาจมีความไม่แน่นอนในการรับงานและการแข่งขันด้านราคาในตลาด ต้นทุนวัตถุดิบบางชนิดที่เพิ่มขึ้น ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักชะลอการลงทุนและอัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทยังไม่สูงนักจึงส่งผลต่อต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้คณะผู้บริหารได้มีการติดตามการขับเคลื่อนกลยุทธ์และแผนปฎิบัติการ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการควบคุมค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ที่ประชุมกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 3 พฤษภาคม 2561 และจ่ายปันผลวันที่ 23 พฤษภาคม 2561
นายไพบูลย์ กล่าวต่ออีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ เติบโตประมาณ 15% โดยเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2561 ยังมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของบริษัทฯ โดยมีแรงหนุนการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โครงการสนับสนุนด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เช่น โซล่าร์หลังคา โครงการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เช่น การนำสายไฟฟ้าลงดิน การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของภาครัฐ เช่น สนามบิน โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนการพัฒนาประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนแผนการลงทุนในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไร โดยบริษัทมีการขยายฐานผลิตภัณฑ์และงานบริการผ่านการจัดหาสินค้าใหม่และร่วมลงทุนกับพันธมิตรใหม่ๆ โดยมีการจัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) การทำสัญญากิจการค้าร่วม (Consortium) เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ระบบออโตเมชั่นต่างๆ หรือที่ต่อยอดจากธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงแผนในการขยายบริการที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้มีการขออนุมัติหลักการและการศึกษาการเข้าร่วมลงทุนในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯที่ผ่านมาแล้ว
ในปัจจุบัน บริษัทมีงานที่รอส่งมอบ (Backlog) ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 80% ส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปีถัดไป และบริษัทยังมีงานที่รอประมูลและมีแผนในการลงทุนกับพันธมิตรใหม่ๆเพิ่มอย่างต่อเนื่อง