กรุงเทพฯ--23 ก.พ.--IR PLUS
JMT ประกาศผลงานปี 60 กำไรทุบสถิติอยู่ที่ 396.1 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้า 36.4% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,356.3 ล้านบาท เป็นผลจากความสามารถในการจัดเก็บหนี้ที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่ และการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม ดันพอร์ตบริหารหนี้รวมสิ้นปี 60 อยู่ที่ 125,554 ล้านบาท "สุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์" ซีอีโอ ตั้งเป้าปี 61 ซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอีก 52,000 ล้านบาท พร้อมลุยตลาดติดตามหนี้ใน CLMV โฟกัสประเทศเวียดนามเพิ่ม ตอกย้ำเบอร์ 1 ในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศ ด้านบอร์ดบริษัทฯ ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่สนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา และประกาศแผนรุกธุรกิจประกันภัย บอร์ดมีมติเข้าลงทุนบมจ. ฟีนิกซ์ประกันภัย (ประเทศไทย) สัดส่วน 55% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 400 ล้านบาท ขยายโอกาสการเติบโตด้วยเทคโนโลยีในอนาคต
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศ เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดปี 2560 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560) มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,356.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% จากปี 2559 อยู่ที่ 1,063.7 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 781.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 685.9 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 396.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4 % จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 290.4 ล้านบาท ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2560 อยู่ที่ 57.6% และอัตรากำไรสุทธิ 29.2%
โดยสาเหตุสำคัญในการเติบโตของรายได้รวมมาจากรายได้จากการเรียกเก็บหนี้สินจากลูกหนี้ที่รับซื้อในปี 2560 อยู่ที่ 1,109.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.2% จากปี 2559 และมีสัดส่วนราว 81.8% ของรายได้รวม มาจากความสามารถในการจัดเก็บหนี้ได้เพิ่มขึ้น สร้างประวัติศาสตร์ของยอดจัดเก็บ (Cash Collection) ได้เท่ากับ 1,847 ล้านบาท และการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่ม นอกจากนี้ รายได้จากการติดตามหนี้ทำได้ที่ 242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้องอยู่ที่ 4.5 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 เนื่องจากธุรกรรมการปรับโครงสร้างบริษัทฯ ซึ่งไม่ต้องจัดทำงบการเงินรวมกับบริษัท เจ ฟินเทค จำกัดแล้ว และพร้อมรุกธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพเต็มกำลัง
"ภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินไทยยังคงมีอยู่จำนวนมาก ในปี 2560 บริษัทซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นราว 16,271 ล้านบาท น้อยกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจาก บริษัทฯ พิจารณาถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพเป็นสำคัญ สนับสนุนให้กำไรสุทธิทั้งปีนี้ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ มา หรืออยู่ที่กว่า 396 ล้านบาท โต 36.4% ขณะที่ พอร์ตบริหารหนี้รวมสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 124,554 ล้านบาท และตั้งเป้าโตต่อ เตรียมประมูลซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มในปีนี้อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะรุกหนี้แบบมีหลักประกันเข้ามาบริหารเพิ่มเติม" นายสุทธิรักษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นปี 2560 ในระบบสถาบันการเงินมียอดคงค้าง Gross NPL ที่ 429 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4 พันล้านบาทจากปี 2559 ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ ยังคงขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาเพื่อรักษาระดับ NPLs เป็นโอกาสของ JMT ซึ่งมีความสามารถในการบริหารหนี้ ตามประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน พร้อมตั้งเป้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปี 2561 เพิ่มอีก 52,000 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของการเข้าลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพ สามารถสร้างผลตอบแทน และ Synergy ร่วมกับธุรกิจของกลุ่มบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ เพื่อขยายการเติบโต ครองความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่หมายรวมถึงใน CLMV ด้วยนั้น บริษัทฯ ได้เปิดบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท เจเอ็มที กัมพูชา จำกัด ในไตรมาส 2/2560 ที่ผ่านมา และเริ่มดำเนินงานติดตามหนี้แล้วในไตรมาสที่ 3/2560 เป็นก้าวแรกของการรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเต็มกำลัง และในปีนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจติดตามหนี้เพื่อรุกตลาดเวียดนาม ตามกลยุทธ์ที่บริษัทฯ วางไว้
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสด จากผลประกอบการประจำปี 2560 (วันที่ 1 มกราคม 2560 – 31 ธันวาคม 2560) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ระหว่าง 0.40 - 0.49 บาทต่อหุ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ JMT-W1 ที่จะแปรสภาพในวันที่ 30 มีนาคม 2561 นี้ โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 24 เมษายน 2561 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 พร้อมทั้ง กำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 18 เมษายน 2561 นี้
พร้อมทั้ง อนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท ฟีนิกซ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (Phoenix) ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นผู้รับประกันวินาศศภัยในประเทศไทย โดยการซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 55% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 400 ล้านบาท แหล่งเงินทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรจากธุรกิจประกันภัยด้วยเทคโนโลยี Insure Tech