กรุงเทพฯ--23 ก.พ.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้แนะจับตาบอนด์ยิลด์ หากขึ้นทดสอบระดับ 3% นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นออกเพื่อดูสถานการณ์ แนะจับจังหวะหุ้นย่อตัวเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ชี้กลุ่มหุ้นการเงินสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น-จีนและอินเดีย แต่หากไม่ทะลุตลาดหุ้นน่าจะยืนและเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 2.9% สูงสุดในรอบ 4 ปี ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับปัจจัยด้านอุปทานที่มากขึ้นหลังกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เปิดประมูลพันธบัตรมากถึง 2.58 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากนี้ TISCO ESU มองว่า Bond Yield จะขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 3% ส่งผลให้ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวน และหาก Bond Yield เพิ่มขึ้นเกินกว่า 3% นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นออกมาเพื่อดูสถานการณ์ก่อน แต่กรณีที่ไม่ทะลุระดับดังกล่าว ตลาดหุ้นน่าจะยืนและเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้
"Bond Yield ที่เพิ่มขึ้นส่งผลกดดันต่อระดับมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดปรับฐานแรงไปในช่วงต้นเดือน ก.พ. ซึ่ง TISCO ESU ประเมินว่าทุก 10bps ของ Bond Yield ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกดดันให้มูลค่าเหมาะสมของดัชนีS&P500 ลดลง 1.5% และหาก Bond Yield เข้าใกล้ 3.5% จะเป็นระดับที่เริ่มส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจจริงชะลอตัวลง จึงแนะนำให้นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด และทยอยขายลดความเสี่ยงหาก Bond Yield เข้าใกล้ระดับอันตราย" นายคมศรกล่าว
ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลต่อนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น กดดันให้ตลาดปรับฐานลงเป็นระยะ แต่ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกดดันแต่ในด้านมูลค่า ( Valuationหรือค่า P/E) เท่านั้น ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดซึ่งก็คือกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ประเด็นนี้จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นต่อไป
ดังนั้น TISCO ESU มองตลาดที่ปรับฐานลงในปีนี้ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มหลักซึ่งจะได้ผลกระทบน้อย หรือได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ได้แก่ 1. หุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐฯ ที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการผ่อนคลายกฎระเบียบสถาบันการเงิน (Financial Deregulation) ซึ่งประธานาธิบดี Trump จะผลักดันให้เกิดขึ้นในปีนี้ 2. ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งยังเทรดที่ระดับ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเงินเฟ้อ และ 3. ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูงในระยะยาว ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบจากการลดลงของค่า P/E ได้