กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--Worklink Da Agency
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า EPG กำหนดกลยุทธ์ในสร้าง The New S-Curve เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เน้นการพัฒนานวัตกรรมทั้งกระบวนการผลิต วัสดุ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อผลิตสินค้านวัตกรรมออกสู่ตลาดให้สอดรับกับแผนธุรกิจ รวมถึงใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาขายและการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามแผนงานที่ได้วางไว้ โดยคาดว่าผลประกอบของบริษัทการจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสต่อๆ ไป
โดยในส่วนของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX บริษัทเริ่มทยอยลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตด้วยเครื่องจักร High speed ในสหรัฐอเมริกา เพื่อมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ เช่น อาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม และที่พักอาศัย เป็นต้น และจะเริ่มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ สำหรับตลาดในประเทศเตรียมลงทุนขยายโรงงาน โดยการเพิ่มกำลังการผลิตฉนวนยางประเภท EPDM และ โพลีเมอร์ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 ส่วนด้านผลิตภัณฑ์ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา (Aero-roof) ตั้งเป้าหมายเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างเพื่อกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคให้มากที่สุด
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS บริษัทได้เข้าทำการเข้าซื้อกิจการ Flexiglass ซึ่งประกอบกิจการร้านจำหน่ายสินค้าตกแต่งรถกระบะ และ SUVประเภทขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ในประเทศออสเตรเลีย โดยมี distributors และ dealers มากกว่า 100 แห่ง และมีสาขาของตนเองรวม 5 แห่ง การเข้าลงทุนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับ AEROKLAS ถือเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญโดยบริษัทมีแผนร่วมกันขยายธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีฐานลูกค้าและการให้บริการครบวงจร ทำให้มีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ถือเป็นผลดีต่อการสร้างศักยภาพในการเพิ่มรายได้และความสามารถในการทำกำไรในอนาคต
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP เร่งทำการตลาดเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภททั่วไปแบรนด์ eici ซึ่งการทำการตลาดในกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ 32,000 ตัน ให้สูงขึ้น อีกทั้งเดินสายโปรโมทแนะนำกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม กับกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านขายภาชนะใส่อาหารพลาสติก และประชาชนทั่วไป ในตลาดมากกว่า 30 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยทางด้านอาหาร ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ทำให้บริษัทมุ่งเน้นการขยายสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2560/61 มีรายได้จากการขาย 7,183.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5% มีกำไรสุทธิ 761.3 ล้านบาท ลดลง 31.4% จากงวด 9 เดือนของปีก่อนหน้า โดยในไตรมาส 3 ปี 2560/61 (ต.ค.- ธ.ค.2560) มีรายได้จากการขาย 2,371.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% และมีกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท ลดลง 44.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2560/61 (ต.ค.- ธ.ค.2560) นี้ ต่ำกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากปัจจัยหลายประการที่เข้ามากระทบพร้อมกัน ประกอบด้วย การแข็งค่าของเงินบาททำให้รายได้จากต่างประเทศลดลง ต้นทุนขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบสูงขึ้น และการใช้กำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่ได้ Economy of Scale