คลังใจป้ำจ่าย 20% ให้ผู้แจ้งเบาะแสซุกเงิน

ข่าวทั่วไป Wednesday October 24, 2007 10:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
กรมบัญชีกลางเสนอร่างข้อบังคับกระทรวงการคลัง จ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่ผู้สืบหา หรือผู้แจ้งเบาะแสทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาของส่วนราชการที่ยังยึดไม่ได้กว่า 2,666 ล้านบาท โดยจ่ายให้ถึง 20% จากราคาขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดได้ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น
นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง โฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่าจากการสำรวจจำนวนหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาของส่วนราชการ ณ วันที่ 1 กันยายน 2550 ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการผิดสัญญาก่อสร้างหรือบุคคลภายนอกทำละเมิดต่อส่วนราชการ ปรากฏว่า ส่วนราชการมีลูกหนี้ตามคำพิพากษาสูงถึง 2,410 คดี เป็นเงินจำนวน 2,742,270,463.53 บาท สามารถสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้และบังคับคดีได้เพียง 74,351,209.38 บาท คงเหลือจำนวนหนี้ จำนวน 2,666,055,422.28 บาท ที่ส่วนราชการยังไม่สามารถเรียกเก็บได้ กระทรวงการคลังซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลการติดตามเงินและทรัพย์สินของแผ่นดินคืนแก่ทางราชการ ได้ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังความคิดเห็น และแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งพบว่าการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาของ
ส่วนราชการที่ผ่านมามักไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ ปัญหาเกิดขึ้นในกระบวนการสืบหาทรัพย์สินเป็นส่วนใหญ่ เช่น ส่วนราชการมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ขาดความเชี่ยวชาญในการสืบหาทรัพย์สิน ในขณะที่ยังต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ประจำด้วย ประกอบกับ การบังคับคดีเป็นภาระต่อเนื่องต้องสืบหาทรัพย์สินตลอดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ทำให้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการดำเนินคดีและบังคับคดี และจากการสำรวจพบว่า ส่วนราชการส่วนใหญ่ต้องการให้เอกชนที่มีความชำนาญในการสืบหาทรัพย์สินเข้ามาดำเนินการแทน กรมบัญชีกลางจึงได้นำแนวความคิดดังกล่าวมากำหนดเป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ และได้จัดทำเป็นร่างข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินค่าตอบแทนการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา พ.ศ. .... ขึ้น
นายมนัส แจ่มเวหา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในร่างข้อบังคับดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการยึด อายัด บังคับคดีและสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามคำพิพากษาแพ่งทั่วไปเท่านั้น ไม่รวมถึงการยึด อายัด บังคับคดีและสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามกฎหมายพิเศษ
เช่น กฎหมาย ป.ป.ช. หรือการดำเนินคดีกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น และหากส่วนราชการใดเห็นว่า
ถ้าดำเนินการเองจะไม่ได้ผลหรือเป็นภาระหรือไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย ก็สามารถมอบให้สำนักงานสืบหาทรัพย์สินเอกชน เป็นผู้ดำเนินการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแทนได้ โดยกำหนดให้มีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้สืบหาทรัพย์สินด้วย หรือในกรณีที่ส่วนราชการจะทำหน้าที่สืบหาทรัพย์สินเองและหากมีผู้แจ้งเบาะแสทรัพย์สินของลูกหนี้ ก็สามารถจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่ผู้แจ้งเบาะแสด้วยเช่นกัน สำหรับอัตราเงินตอบแทนนั้น ได้เสนอไว้ คือ อัตรา 20% ของราคาที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินฯ กรณีจ่ายให้แก่สำนักงานสืบหาทรัพย์สินฯ และ อัตรา 10% ของราคาที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินฯ กรณีจ่ายผู้ให้เบาะแสแก่ทางราชการ
นายมนัส แจ่มเวหา กล่าวต่อท้ายว่า เมื่อร่างข้อบังคับดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว น่าจะทำให้สำนักงานสืบหาทรัพย์เอกชนสนใจและเข้ามาร่วมปฏิบัติงานกับส่วนราชการมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนราชการสามารถยึด อายัด บังคับคดี ทรัพย์สิน ของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ให้แก่ราชการได้เป็นจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้น แม้ว่า
รัฐจะต้องแบ่งจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่ผู้ที่สืบหาทรัพย์สินฯ หรือแจ้งเบาะแสทรัพย์สินฯ ไปบ้าง ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่ไม่สามารถยึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ส่วนราชการสืบหาไม่พบ โดยร่างข้อบังคับดังกล่าว คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างข้อบังคับตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้ว เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2550 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 และเมื่อข้อบังคับดังกล่าวมีผลบังคับแล้วจะได้แจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ