กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--
บรรยายภาพ: นายเชง นิรุตตินานนท์ (ขวา) ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายแม็กดิ บาตาโต (ซ้าย) รองประธานคณะกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เนสท์เล่ เอส.เอ. และ นายอดิศร
พร้อมเทพ (กลาง) อธิบดีกรมประมง ร่วมทำพิธีเปิด "เรือประมงสาธิต" ซึ่งได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมประมงไทย
กรุงเทพฯ – 28 กุมภาพันธ์ 2561: วันนี้ บริษัท เนสท์เล่ เอส. เอ. และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ร่วมกันทำพิธีเปิด "เรือประมงสาธิต" เพื่อส่งเสริมและยกระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานของผู้ใช้แรงงานในอุตสาหกรรมประมงไทย
เนสท์เล่ และไทยยูเนี่ยน ได้ร่วมมือกับองค์กรเวริเต้ (Verite) ในการปรับปรุงเรือประมงแบบดั้งเดิมของไทย โดยปรับโฉมให้เป็นเรือประมงที่มีมาตรฐานด้านความเป็นอยู่ของแรงงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานบนเรือที่ดี ซึ่งประกอบด้วย
การเตรียมอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดอย่างเพียงพอ การมีพื้นที่ใช้สอยบนเรือสำหรับการพักผ่อน การรับประทานอาหาร และการทำกิจกรรมยามว่างอย่างเหมาะสม ตลอดจนมีชุดปฐมพยาบาล และห้องน้ำที่ได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย
ทั้งนี้ เรือดังกล่าวนับเป็นเรือประมงลำแรกในประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อใช้ส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานอย่างจริงจัง โดยเรือดังกล่าวได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา และได้จัดการฝึกอบรมให้กับเจ้าของเรือประมง กัปตัน และลูกเรือรวม 83 คนในจังหวัดตราดและปัตตานี
โครงการ "เรือประมงสาธิต" ได้รับการริเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2559 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศ ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) และกรมประมง ทั้งนี้ จะมีการจัดฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยกรมประมงจะบริหารจัดการให้มีการฝึกอบรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องไปในระยะยาว
นายแม็กดิ บาตาโต รองประธานคณะกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เนสท์เล่ เอส.เอ. กล่าวว่า "การกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงานจะไม่มีที่ยืนในระบบห่วงโซ่อุปทานของเรา โครงการ "เรือประมงสาธิต" นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการประสานความร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้านการละเมิดสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมง บริษัทขอขอบคุณรัฐบาลไทยและพันธมิตรทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนในการดำเนินโครงการนี้อย่างเต็มที่"
"โครงการนี้ยังสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการของเนสท์เล่ในการจัดหาวัตถุดิบอาหารทะเลอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการในปี 2558 เป็นต้นมา ปัจจุบัน เราสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึง 99% สำหรับแหล่งที่มาของปลาทูน่าที่จับได้ว่ามาจากเรือลำใด รวมถึงกุ้งว่ามาจากฟาร์มเลี้ยงกุ้งใด ทั้งนี้ ผู้จัดหาวัตถุดิบให้แก่บริษัทคู่ค้าของเราได้ลงนามในข้อกำหนดทางธุรกิจตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว 100% นอกจากนี้ บริษัทยังห้ามไม่ให้มีการขนถ่ายสัตว์น้ำในทะเล และได้ร่วมมือกับสถาบันอิสราซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ในการนำระบบเฝ้าสังเกตการณ์แรงงานอย่างครอบคลุม (Inclusive Labour Monitoring System) ไปใช้ดูแลแรงงานกว่า 35,000 คนทั่วทั้งระบบห่วงโซ่อุปทานของเนสท์เล่" นายแม็กดิ กล่าวเสริม
ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน เปิดเผยว่า การดูแลด้านสิทธิมนุษยชน และการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย ให้ความปลอดภัย และให้เสรีภาพในการเลือกทำงานในโรงงานของเราและในระบบห่วงโซ่อุปทานมีความสำคัญยิ่งต่อไทยยูเนี่ยน
"โครงการนี้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน SeaChange(R) ซึ่งเป็นแผนบูรณาการครอบคลุมโครงการต่างๆ ใน 4 ด้าน เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลโลกทั้งระบบ"
ดร. แมคเบน กล่าว "ไทยยูเนี่ยนมีโครงการต่างๆ ที่ดูแลพนักงานของเรา ในขณะเดียวกัน เราก็ทำงานร่วมกับรัฐบาลและ
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในหลากหลายโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่า คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ได้รับการปกป้องและดูแล"
เกี่ยวกับเนสท์เล่ เอส. เอ.
เนสท์เล่เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ครอบคลุม 189 ประเทศทั่วโลก พนักงานเนสท์เล่กว่า 323,000 คนต่างมีพันธสัญญาต่อเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิต เสริมสร้างสุขภาพดีสู่อนาคต (Enhancing quality of life and contributing to a healthier future) เนสท์เล่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับผู้คนและสัตว์เลี้ยงครอบคลุมในทุกช่วงวัย มากกว่า 2,000 แบรนด์ ทั้งที่เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก เช่น เนสกาแฟ เนสเปรสโซ ตลอดจนแบรนด์ที่เป็นที่ชื่นชอบในท้องถิ่นอย่าง ตราหมี หรือมิเนเร่ บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ปัจจุบัน เนสท์เล่ก่อตั้งมานานกว่า 150 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเวเวย์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 125 พันล้านบาท (3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 49,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Ruegen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange(R) และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอดในเรื่องดังกล่าว จนส่งผลโดยรวมให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2560 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เมื่อเร็วๆ นี้อีกด้วย