กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'บมจ.เซ็ปเป้ หรือ SAPPE' โชว์ผลประกอบการปี 2560 มีรายได้จากงบการเงินรวม 2,745.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 401 ล้านบาท หลังประสบความสำเร็จกับการทำตลาดต่างประเทศทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกเติบโตได้ดี จากปัจจัยแบรนด์สินค้าที่มีความแข็งแกร่งและคุณภาพสินค้าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ส่วนตลาดในประเทศยังรักษาอัตราการเติบโตจากความสำเร็จในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โดนใจผู้บริโภค พร้อมตั้งเป้าปี 61 ผลักดันเป้าเติบโต 10-15%
นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากงบการเงินรวม 2,745.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 2,541.5 ล้านบาท (ไม่รวมผลประกอบการบริษัทย่อยในอินโดนีเซียในปี 17) และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 368 ล้านบาท (ไม่รวมกำไรที่เกิดขึ้นจากการขายบริษัทย่อยในอินโดนีเซียในปี 17 จำนวน 32.9 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ปัจจัยการเติบโตทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิที่ดีขึ้น มาจากตลาดต่างประเทศในทุกภูมิภาคทั่วโลกมีการเติบโตด้านยอดขายที่ดี เนื่องจากมีแบรนด์สินค้าของ SAPPE มีความแข็งแกร่งและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีคุณภาพได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกัน ตลาดในประเทศ ก็ประสบความสำเร็จในการทำตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ 'เซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์' สามารถสร้างกระแสและการรับรู้แบรนด์สินค้าไปสู่ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น จากการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด ได้แก่ 'เซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์' สูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ และสูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม ทำให้ภาพรวมยอดขายสินค้าในกลุ่มนี้เติบโตได้ดี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มของอุตสาหกรรมเรื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามในปี 2561 (Functional Drink) บริษัทฯ ประเมินว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน เนื่องจากการผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมหันมานำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเน้นจุดขายสูตรน้ำตาลน้อยรับกระแสรักสุขภาพหรือเลือกแนวทางปรับสูตรเครื่องดื่มที่มีอยู่เดิมด้วยการลดปริมาณน้ำตาล ซึ่งสอดรับกับมาตรการจัดเก็บภาษีความหวาน ที่ภาครัฐยังให้เวลาปรับตัวเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนเริ่มจัดเก็บภาษีจริงในวันที่ 1 ต.ค. 2562
สำหรับแผนดำเนินงานนั้น บริษัทฯ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติมเพื่อรองรับการแข่งขันในช่วงฤดูการขายสินค้า รวมถึงจะเร่งทำกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงแผนขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าด้วยแนวทางดังกล่าวจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2561 เติบโตได้ 10%