กรุงเทพฯ--5 มี.ค.--เอบีเอ็ม
- ภายในปี 2573 จำนวนผู้พักอาศัยในเมืองจะมีไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านคนทั่วโลก
- ในปี 2560 ยานยนต์รุ่นใหม่ที่ขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีถึง 12.8 ล้านคัน ส่งผลให้โครงสร้างการจราจรไม่สามารถรองรับได้
- โมเดลการขับเคลื่อนทางเลือกสำหรับเมือง มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ การขับเคลื่อนที่มีความปลอดภัยไร้กังวลและยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ ปลอดอุบัติเหตุ และไร้มลภาวะ
ความปลอดภัยไร้กังวล ปลอดอุบัติเหตุ และไร้มลภาวะ: คุณสมบัติเหล่านี้เป็นการมองไปยังอนาคตเกี่ยวกับการขับเคลื่อนในเมือง ที่ซึ่งผู้คนและสินค้าสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี เช่นเดียวกับตัวเมืองที่สามารถวางระบบการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลจากรายงาน World Cities ปี 2559 โดยสหประชาชาติ พบว่า มีประชากรราวร้อยละ 54.4 ของประชากรทั้งโลก หรือคิดเป็นประมาณ 4 พันล้านคน อาศัยอยู่ในเขตเมือง คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 จำนวนผู้อยู่อาศัยในเมืองต่างๆ ทั่วโลก จะมีไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านคน โดยในอาเซียนเพียงภูมิภาคเดียว คาดว่าจะมีผู้คนกว่า 90 ล้านคน ย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองต่างๆ โดยมีจำนวนประชากรสูงวัยประมาณ 57 ล้านคน และตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มร. มาร์ติน เฮยส์ ประธานภูมิภาคบ๊อชอาเซียน กล่าวระหว่างการประชุมสุดยอดทางธุรกิจ EU-ASEAN ที่จัดขึ้นในสิงคโปร์ว่า "บ๊อชเชื่อว่า ในการรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น โมเดลการขับเคลื่อนทางเลือกต่างๆ สำหรับเมือง มีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชน สามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความแตกต่างที่จะช่วยพัฒนาภูมิทัศน์แห่งการขับเคลื่อนในเมืองแห่งอนาคตได้"
ระบบคมนาคมหลายรูปแบบ ที่ปลอดภัยและสะอาดไร้มลภาวะ
วิสัยทัศน์ของบ๊อชเกี่ยวกับการขับเคลื่อนในเมืองแห่งอนาคต ดำรงอยู่ด้วยความเชื่อที่ว่า ระบบและโซลูชั่นส์ต่างๆ ต้องให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก โดยต้องสามารถตอบสนองความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และสร้างแนวทางที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลกระทบที่ดีขึ้นให้แก่สภาพแวดล้อมแห่งการขับเคลื่อนได้
การขับเคลื่อนที่ไร้กังวล คือการขับเคลื่อนที่ยืดหยุ่น
หนึ่งในปัจจัยที่ขัดขวางความสามารถในการผลิตและความก้าวหน้าทางธุรกิจคือความแออัด จำนวนผู้อยู่อาศัยร่วม 650 ล้านคนของประเทศในกลุ่มอาเซียน คิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ 8.6 ของประชากรทั้งโลก ตามมาด้วยจำนวนยานพาหนะสองล้อและสี่ล้อรวมกันประมาณ 12.8 ล้านคันในปี 2560 เพียงปีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตลาดยานยนต์สองล้อที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โครงสร้างขั้นพื้นฐานของการจราจรไม่สามารถรองรับได้ไหว โดยส่วนใหญ่ ยานพาหนะส่วนตัวได้กลายเป็นรูปแบบเดียวในการสัญจรของผู้คนไปแล้ว
แนวทางที่เน้นการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของบ๊อชเกี่ยวกับเทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนแบบไร้กังวล ช่วยให้ประชากรเมืองมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการเดินทางของตัวเอง ไม่ว่าจะโดยยานพาหนะสี่ล้อหรือสองล้อ การขนส่งระบบรางหรือการใช้รถร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงการคมนาคมได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บ๊อชได้ถือครองกิจการ US carpooling start-up SPLT (Splitting Fares Inc.) ในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้บริษัทฯ ก้าวย่างสู่ธุรกิจการบริการใช้รถร่วมกันอย่างเป็นทางการ บริษัท SPLT ได้ออกแบบแอปพลิเคชันเพื่อผู้สัญจรโดยเฉพาะ ซึ่งแอปฯ นี้จะเชื่อมต่อกับผู้คนที่อยู่ภายในองค์กรเดียวกัน ที่ใช้เส้นทางเดียวกันสัญจรไปยังที่ทำงานหรือโรงเรียน
ในปี 2559 บ๊อชเปิดตัวบริการ COUP หรือการใช้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าร่วมกัน (COUP e-scooter sharing service) ซึ่งเป็นการนำเสนอทางเลือกที่แสนสะดวกสบาย นอกจากการขนส่งมวลชน รถส่วนตัว หรือรถแท็กซี่ โดยมีใช้จริงบนท้องถนนในกรุงเบอร์ลินและปารีสแล้ว รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเพื่อนำไปใช้ในเมืองต่างๆ ตลอดทั้งปีนี้ โดยเริ่มต้นที่กรุงมาดริด นอกจากนี้ แอปฯ COUP ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานค้นหาและจองรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด และพร้อมเดินทางได้โดยทันที
แนวทางที่ยืดหยุ่นเหล่านี้ ล้วนผสานด้วยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่ออย่างครอบคลุมของบ๊อช ซึ่งจะช่วยวางโครงร่างของการขับเคลื่อนที่ไร้กังวลเพื่ออนาคตได้
การขับเคลื่อนที่ไร้อุบัติเหตุ คือการขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ
ปัจจุบัน อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 9 ของผู้คนในทุกช่วงวัย และคาดว่าจะขึ้นเป็นอันดับ 7 ภายในปี 2573 จากข้อมูลตัวเลขพบว่า ประชากรมากกว่า 1.2 ล้านคน เสียชีวิตในทุกๆ ปีด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนทั่วโลก องค์การอนามัยโลกประมาณการว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียนในแต่ละปี มีประชากรราว 120,000 คน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่มีรายงานตัวเลขเพียง 63,000 คนเท่านั้น ทั้งนี้ พบว่า 9 ใน 10 ของอุบัติเหตุที่ถึงแก่ชีวิตทั่วโลก เกิดจากความผิดพลาดของคน ทั้งนี้ ฟีเจอร์และการทำงานอัจฉริยะต่างๆ ของยานยนต์ ที่กำลังจะเข้ามาทำหน้าที่ต่างๆ แทนคนขับ จะสามารถช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่ว่านี้ได้
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
การขับเคลื่อนในเมืองเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และมีความเสี่ยงใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรได้แก่ ผู้สัญจรบนทางเท้า และผู้ใช้รถจักรยาน ระบบอัจฉริยะของบ๊อชที่มีเซนเซอร์ที่ใช้สัญญาณเรดาร์รวมทั้งกล้องวิดีโอ จะช่วยให้ยานยนต์สามารถตรวจจับและสังเกตตำแหน่งของผู้ใช้ถนนเหล่านี้ได้แม้ในสภาพการจราจรที่ยุ่งเหยิง ระบบจะเตือนผู้ขับขี่หรือแม้กระทั่งเข้าควบคุมหากมีความจำเป็น โดยขั้นตอนจะเป็นไปตามสถานการณ์ที่มีการระบุไว้ ผ่านการสื่อสารและการโต้ตอบของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งในยานยนต์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา จากจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมากมายในเมือง เทคโนโลยียุคใหม่ที่ล้ำหน้าเหล่านี้ให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ถนนอย่างมาก โดยช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบาย รวมทั้งช่วยการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับผู้ใช้รถจักรยาน และผู้สัญจรบนทางเท้าด้วย
ความปลอดภัยคือรากฐานที่สำคัญของการขับขี่ด้วยระบบอัตโนมัติ
"บ๊อชเชื่อว่า ผลกระทบสำคัญที่อุตสาหกรรมยานยนต์สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือ การผลิตยานยนต์ที่ปลอดภัยกว่าเดิม ด้วยการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย" มร. เฮยส์ กล่าว
ในปี 2521 มีการเปิดตัวระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จากนั้น ในปี 2538 ก็มีระบบ ABS สำหรับยานยนต์สองล้อออกสู่ตลาด ระบบเบรก ABS ทำให้การเบรกมีความปลอดภัย โดยช่วยให้ผู้ขับรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถ และแม้ในขณะที่ต้องเบรกรถในระยะสั้น ก็จะไม่ลื่นไถล ข้อมูลงานวิจัยของบ๊อช มีการประมาณการว่า หากยานยนต์สองล้อทุกคันในกลุ่มประเทศอาเซียนติดตั้งระบบเบรก ABS จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับรถมอเตอร์ไซด์ได้ประมาณ 1 ใน 4 นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในยานยนต์ จึงมีการผลิตระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESP(R)) สำหรับยานยนต์ขึ้นในปี 2538 ซึ่งระบบ ESP(R) ประกอบด้วยฟังก์ชันการทำงานของระบบเบรก ABS และระบบการตรวจจับการเคลื่อนไหวลื่นไถล ที่ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันที หลังจากที่มีการติดตั้งเทคโนโลยี ESP(R) พบว่า สามารถลดอุบัติเหตุรถลื่นไถลได้ถึงร้อยละ 80 และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ESP(R) ยังเป็นเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานสำหรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และการขับขี่ด้วยระบบอัตโนมัติอีกด้วย
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ปี 2554 ถึง 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน โดยสำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียน บ๊อชได้มุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล มหาวิทยาลัย องค์กรอิสระต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้สำเร็จก็คือ การออกกฎให้ยานยนต์รุ่นใหม่ทุกคันต้องติดตั้งระบบ ESP(R) ให้เร็วที่สุดในกระบวนการผลิตยานยนต์ครั้งต่อไป ทั้งนี้ ภายในเดือนมิถุนายน 2561 รถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมดในมาเลเซียจะต้องติดตั้งระบบ ESP(R) บ๊อชจึงเชื่อว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน ก็ควรมีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างจริงจัง
การขับเคลื่อนที่ไร้มลภาวะ คือการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
บ๊อชมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าในแนวทางบูรณาการอย่างเป็นระบบ ด้วยการจัดสรรงบประมาณกว่า 7 พันล้านยูโร เพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบส่งกำลังรถยนต์ที่เหมาะสมต่ออนาคต อาทิ การพิจารณาถึงคุณสมบัติที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากร เป็นต้น องค์การพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า พื้นที่ในเขตเมืองมีการใช้พลังงานที่เป็นผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกทั้งหลายถึงร้อยละ 67 โดยร้อยละ 28 ของพลังงานนั้น ถูกใช้ในระบบคมนาคมโดยปราศจากความพยายามควบคุมปริมาณการใช้ รวมถึงของเสียที่ปล่อยออกมา ซึ่งจำนวนการใช้พลังงานในเขตเมืองจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70 ในปี 2593
ยานพาหนะทั้งแบบสองล้อและสี่ล้อที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า กำลังกลายเป็นยานยนต์รุ่นถาวรของผู้ผลิตชั้นนำค่ายต่างๆ ระบบไฟฟ้าจึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
"เมืองต่างๆ ทั่วโลกกำลังปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิถีการขับเคลื่อนในเมือง และมีการสนับสนุนรูปแบบการคมนาคมทางเลือกแบบต่างๆ ซึ่งรูปแบบทางเลือกเหล่านี้โดยส่วนมากเกิดจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางของเราโดยสิ้นเชิง เจตจำนงร่วมกันระหว่างภาคประชาชน เอกชน องค์กรอิสระ และรัฐบาล จะทำให้วิสัยทัศน์ในการสร้างการขับเคลื่อนในเมืองแห่งอนาคตอย่างมีความยั่งยืนและเกิดขึ้นได้จริง" มร. เฮยส์ กล่าวสรุป
กลุ่มบริษัทบ๊อช ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลก มีพนักงานทั่วโลกกว่า 400,500 คน (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560) ในปี 2560 บริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า 7.8 หมื่นล้านยูโร โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจสำคัญได้แก่ กลุ่มโซลูชั่นส์แห่งการขับเคลื่อน กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร ในฐานะผู้นำทางด้าน IoT (Internet of Things) บ๊อชนำเสนอนวัตกรรมแห่งโซลูชั่นส์เพื่อบ้านอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ยานยนต์ และ อุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมต่อถึงกัน ด้วยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเซนเซอร์ ซอฟต์แวร์ และการให้บริการ รวมถึงไอโอทีคลาวด์ของบ๊อชเอง เราจึงสามารถให้บริการโซลูชั่นส์ที่เชื่อมต่อแบบข้ามโดเมนได้เบ็ดเสร็จจากแหล่งเดียว เป้าหมายกลยุทธ์ของเรา คือการส่งมอบนวัตกรรมและสร้างแรงบันดาลใจเพื่อชีวิตที่เชื่อมต่อถึงกัน ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการเสนอคำตอบที่ล้ำสมัยและเป็นประโยชน์ที่นับได้ว่าเป็น "เทคโนโลยีเพื่อชีวิต" กลุ่มบ๊อช ประกอบด้วยบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช และบริษัทในเครืออีกกว่า 440 บริษัท รวมถึงสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศต่างๆ อีกกว่า 60 ประเทศ หากรวมบริษัทคู่ค้าผู้จัดจำหน่ายและให้บริการต่างๆ ทั้งส่วนการผลิตงานวิศวกรรม และเครือข่ายด้านการขาย บ๊อชครอบคลุมอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก เพราะพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายตัวในอนาคตของบริษัทขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรม บริษัทจึงมีพนักงานในส่วนการวิจัยและพัฒนากว่า 62,500 คน ในศูนย์วิจัยกว่า 125 แห่งทั่วโลกในปัจจุบัน
โรเบิร์ต บ๊อชก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2429 ณ เมือง สตุทการ์ท ประเทศเยอรมนีโดย มร.โรเบิร์ต บ๊อช (พ.ศ. 2404 – 2485) โดยเริ่มการเปิด "ศูนย์วิศวกรรมการออกแบบและควบคุมเชิงกลศาสตร์และ วิศวกรรมไฟฟ้า" ด้วยโครงสร้างที่พิเศษของโรเบิร์ต บ๊อช ทำให้บริษัทมีอิสระในการดำเนินงาน และสามารถวางแผนในระยะยาว ทำการลงทุนได้อย่างทันท่วงทีเพื่อเป็นหลักประกันของอนาคตของบริษัท โดยมีมูลนิธิ โรเบิร์ต บ๊อช เป็นผู้ถือหุ้นหลัก 92 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช แต่ทว่าสิทธิในการลงคะแนนและอำนาจในการบริหารจัดการจะถูกดูแลโดย คณะผู้บริหารบ๊อช (Robert Bosch Industrietreuhand KG) ซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม และปัจจุบันหุ้นส่วนที่เหลือนั้นเป็นของเครือบริษัทบ๊อช และบริษัทโรเบิร์ต บ๊อช จีเอ็มบีเอช เยอรมนี ข้อมูลเพิ่มเติม: www.bosch.com, www.bosch-mobility-solutions.com, www.bosch-press.com, twitter.com/BoschPresse