กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--ไอดีซี ประเทศไทย
อ้างอิงข้อมูลจาก International Data Corporation (IDC) Quarterly Mobile Phone Tracker สมาร์ทโฟนของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มียอดจัดส่งรวมสูงถึง 100 ล้านเครื่องในปี 2017 หดตัวลงจากปีที่แล้วในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 โดย ไอดีซีได้จัด ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ไว้ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศเมียนมาร์และฟิลิปปินส์ เป็นเพียงสองประเทศที่มียอดจัดส่งสมาร์ทโฟนลดลง สืบเนื่องจากการที่ผู้ค้าบางรายลดปริมาณการจัดส่งลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องให้ยอดจัดส่งรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลงด้วย ผู้เล่นทั้งรายเล็กและผู้เล่นจากในประเทศหลายรายได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จากการที่ผู้เล่น 4 อันดับแรกของตลาดได้เสริมตำแหน่งของตนด้วยการขายโทรศัพท์กลุ่มราคาย่อมเยา (US$100)
"นอกเหนือไปจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่น 4 อันดับแรกของตลาดที่มีความสามารถในการจัดส่งโทรศัพท์จำนวนมากแล้ว ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ที่ให้ความสำคัญกับงบประมาณ ยังไม่เห็นความเร่งรีบในการที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์ที่ราคาสูง หากเครื่องปัจจุบันในกลุ่มราคาระดับกลางที่ผู้ใช้ใช้งานอยู่ยังมีคุณภาพดี ซึ่งส่งผลให้อายุการใช้งานของโทรศัพท์นั้นยาวขึ้น และการเปลี่ยนเครื่องใหม่ช้าลง" เจเซ่น อุย นักวิเคราะห์ตลาดไคล์เอนต์ดีไวซ์อาวุโส ไอดีซีอาเซียน กล่าว
ไฮไลท์ของตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2017
สมาร์ทโฟนในกลุ่มราคาระดับกลางเติบโตขึ้น ร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันของผู้เล่น 5 อันดับแรกของตลาด ในขณะที่โทรศัพท์มือถือในกลุ่มราคาย่อมเยายังคงมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดถึงร้อยละ 37 โทรศัพท์ในกลุ่มราคาระดับกลางได้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 27 (27.1 ล้านเครื่อง) ของตลาดรวม เทียบกับเมื่อปี 2016 ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 17 (17.6 ล้านเครื่อง)
- ซัมซุง เป็นผู้เล่นอันดับหนึ่งของตลาดโทรศัพท์ในกลุ่มราคาระดับกลาง ด้วยโทรศัพท์ที่มีราคาเหมาะสมอย่างซีรีย์ Galaxy J
- ออปโป้และวีโว่ ยังคงขยายแบรนด์ต่อไปด้วยการใช้ผู้มีชื่อเสียงและกิจกรรมทางการตลาดในการผลักดัน ซีรีย์ F และ V
- หัวเว่ย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันด้วยการใช้ซีรีย์ Nova และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่คล้ายคลังกับออปโป้และวีโว่
- ในขณะเดียวกัน แอปเปิ้ล ก็มีส่วนในตลาดโทรศัพท์ในกลุ่มราคาระดับกลาง ด้วยโมเดลก่อนหน้า เช่น iPhone 5 iPhone SE และ iPhone 6
สมาร์ทโฟน 4G เติบโตขึ้นร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ความต้องการฟีเจอร์โฟน 4G ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ในที่สุด สมาร์ทโฟน 4G ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในปี 2017 โดยสมาร์ทโฟน 4G ได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 81 (81.1 ล้านเครื่อง) ของตลาดรวม เทียบกับเมื่อปี 2016 ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 56 (56.2 ล้านเครื่อง) ผู้ค้าในประเทศและผู้ค้าระดับโลกบางรายยังคงจัดส่งสมาร์ทโฟน 3G โดยมีกลุ่มผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นเป้าหมาย ในขณะเดียวกันการใช้งานของฟีเจอร์โฟน 4G ยังคงเติบโตอย่างช้าและมีจำนวนเพียงแค่ราว 250,000 เครื่องเท่านั้น เครื่องเหล่านี้มักมีวางจำหน่ายในเมืองที่ระดับความสำคัญต้น ๆ เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเครือข่ายมักมีคุณภาพดี ในขณะที่ในเมืองที่ระดับความสำคัญรองลงมายังมีการใช้งานฟีเจอร์โฟน 2G ต่อไป ฟีเจอร์โฟน 4G เหล่านี้มีวางจำหน่ายในประเทศไทยมาตั้งแต่ 2016 ในขณะที่เพิ่งมีวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2017 ในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
ยอดการจัดส่งแฟบเล็ต (ขนาดหน้าจอ 5.5"<7") เติบโตขึ้นร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความต้องการหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แฟบเล็ตได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 35 (35.0 ล้านเครื่อง) ของตลาดรวมในปี 2017 เมื่อเทียบกับเมื่อปี 2016 ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 20 (20.5 ล้านเครื่อง) อย่างไรก็ตามสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาด 5"<5.5" ยังคงมีส่วนแบ่งที่มากกว่า คือร้อยละ 50 (50.5 ล้านเครื่อง) การเติบโตของแฟบเล็ตนั้นเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่กำลังเกิดขึ้น และผู้ค้าเองก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มีขอบจอบางสู่ตลาด โดยซัมซุงเป็นแบรนด์ที่มีจำนวนการจัดส่งสมาร์ทโฟนที่สูงที่สุด ในขณะที่วีโว่เป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตสูงที่สุดในตลากแฟบเล็ต
"ในปี 2018 ผู้ค้าในประเทศจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้ใช้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงความต้องการไปสู่แบรนด์ที่มีความนิยมสูงขึ้น และยินดีที่จะลงทุนในการอัพเกรดสมาร์ทโฟนในกลุ่มราคาระดับกลางที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น ในไม่ช้าโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับคุณลักษณะที่น่าดึงดูดต่าง ๆ เช่น กล้องคู่ ขอบจอบาง ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอที่ฝังมากับเครื่อง และอื่น ๆ โดยการที่ผู้ค้าจะสามารถคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ เราคาดหวังที่จะเห็นผู้ค้าในประเทศจัดส่งสมาร์ทโฟนที่มีคุณลักษณะเหล่านี้ และเปิดตัวโทรศัพท์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โอริโอ 'โก อิดิชัน' (Android Oreo 'Go Edition') และมีราคาที่เหมาะสม คือต่ำกว่า