กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--สภาธุรกิจตลาดทุนไทย
ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายทางการเงินสหรัฐเป็นปัจจัยที่นักลงทุนเฝ้าติดตามดัชนีฯ เดือนมีนาคม 2561 ปรับลดลงโดยอยู่ในภาวะร้อนแรงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน"
นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมีนาคม 2561 "ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในภาวะร้อนแรงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน จากความเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนติดตามสถานการณ์ทางการเมือง และนโยบายทางการเงินสหรัฐ เป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด สำหรับตลาดหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีฯมีการปรับฐานโดยลดลงค่อนข้างมากในช่วงต้นเดือน หลังจากนั้นทยอยปรับเพิ่มขึ้นตลอดเดือน โดยดัชนีฯปิดทำการ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นเดือนมกราคม" โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤษภาคม 2561) อยู่ที่ 143.09 อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" (Bullish) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 120 - 160) ปรับตัวลดลง 8.70% จากเดือนที่ผ่านมาที่156.62
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวลดลง โดยกลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงอย่างมาก กลุ่มสถาบันภายในประเทศและกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงโดยยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากระดับร้อนแรงอย่างมาก มาอยู่ที่ระดับทรงตัว
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
ส่วนหมวดธนาคาร (BANK) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง
"ภาวะการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับฐานราคาลดลงไปอยู่ต่ำสุดของเดือนที่ 1758.31 จุด ในช่วงต้นเดือน ตามการปรับฐานในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐที่มีการปรับตัวลดลงมากกว่า 1,000 จุด ในวันเดียว อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ดัชนีฯได้ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเดือน โดยปรับตัวกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงกับดัชนีฯของเดือนมกราคม ในช่วง 1820-1830 จุด ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นจากคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน จากตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่มีการเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนหันกลับมาติดตามความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมากขึ้น โดยให้น้ำหนักเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุด รองลงมาได้แก่นโยบายทางการเงินของสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมและมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้"