ก.ล.ต. ร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์วางแนวทางการเปิดเผยชื่อบริษัทหลักทรัพย์ต้นสังกัดของผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนที่กระทำผิด

ข่าวทั่วไป Thursday November 1, 2007 15:04 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 พ.ย.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. ร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์วางแนวทางการเปิดเผยชื่อบริษัทหลักทรัพย์ต้นสังกัดของผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนที่กระทำผิด และปรับปรุงเกณฑ์การวางหลักประกันในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการกำกับดูแลกิจการที่ดีในตลาดทุน
ก.ล.ต. ประชุมรายไตรมาสร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์หารือเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้เหมาะสม ได้มาตรฐานสากล และเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบการชำระเงินและ ส่งมอบหลักทรัพย์ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่
1) กำหนดว่าต่อไป เมื่อพนักงานผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ใดมีการ กระทำผิด และถูกลงโทษด้วยการสั่งพักหรือเพิกถอน ก.ล.ต. จะไม่เปิดเผยเฉพาะชื่อของพนักงานเช่นเดิม แต่จะเปิดเผยชื่อของบริษัทหลักทรัพย์เจ้าสังกัดด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นมาตรการให้บริษัทต้องรับผิดชอบในการจัดระบบคัดเลือก อบรม และตรวจตราการทำงานของพนักงานให้ใกล้ชิดมากขึ้น โดยจะให้มีผลสำหรับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
2) ติดตามให้สมาคมหาข้อยุติในการศึกษาเพื่อกำหนดอัตราการวางหลักประกันก่อนการซื้อขายหลักทรัพย์แบบ net settlement ในบัญชีเงินสด ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ร้อยละ 10 ให้สูงขึ้น โดยสมาคมได้ทำการศึกษาในเชิงวิชาการเกือบจะได้ผลสรุปแล้ว ซึ่งเมื่อได้ผลสรุปสมาคมจะนำหารือกับสมาชิกก่อนจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสนอต่อ ก.ล.ต. ต่อไป โดยในเบื้องต้นเห็นว่า หากจะมีการปรับให้สูงขึ้น ควรต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และประกาศล่วงหน้าเพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยรับทราบและมีเวลาเตรียมตัว
3) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance : CG) ในบริษัทจดทะเบียน สมาคมจะไปออกข้อกำหนดให้ บล. ที่เป็นสมาชิกทุกรายต้องแสดงข้อมูล CG Rating ของบริษัทจดทะเบียนไว้ในบท วิเคราะห์ของ บล. เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนเพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ นอกจากนี้ สมาคมจะส่งเสริมให้กรรมการของ บล. ทุกแห่งเข้าอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของกรรมการให้ครบถ้วน รวมทั้งจะสนับสนุนให้เข้าอบรมหลักสูตรความรู้ด้าน CG เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ ในการประเมินระบบการกำกับดูแลตลาดทุนไทยตามโครงการ Financial Sector Assessment program (FSAP) โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) และธนาคารโลกที่เพิ่งดำเนินการเสร็จไปแล้ว ผู้ประเมินได้ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราการวางหลักประกันที่กำหนดไว้ขณะนี้ ร้อยละ 10 นั้น เป็นอัตราที่ต่ำเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงในระบบการชำระเงินและส่งมอบหลักทรัพย์หากราคาปรับตัวลดลงแบบฉับพลัน ซึ่งในต่างประเทศส่วนใหญ่จะกำหนดไว้สูงกว่าของประเทศไทย
ในการประชุมที่กรุงวอชิงตันเดือนนี้ มีหลายสถาบันที่คาดว่าจะมีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดกำลังพัฒนา (emerging markets) มากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปีนี้และปีหน้า และยิ่งดัชนีตลาดขึ้นไประดับสูงมากขึ้นเท่าใด หากมีเหตุให้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงติดต่อกันหลายวัน โอกาสที่ลูกค้าจะผิดนัดไม่สามารถชำระค่าซื้อหรือส่งมอบหลักทรัพย์ที่ขายได้ตามกำหนดก็จะสูงขึ้นเท่านั้น ก.ล.ต. จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้สมาคมและตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูแลในเรื่องนี้เตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ ”
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า “ ในเรื่องการควบคุมพนักงานผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนนั้น สมาคมและสมาชิกทุกรายยินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลแก่ ก.ล.ต. เมื่อตรวจพบการกระทำที่ไม่เหมาะสมของผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสังกัด ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องการปรับอัตราการวางหลักประกันของลูกค้า ที่ซื้อขายหลักทรัพย์แบบ net settlement ในบัญชีเงินสดนั้น สมาคมเห็นด้วยที่จะต้องปรับขึ้น โดยควรปรับแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับตัวได้ ซึ่งสมาคมมีความเห็นเช่นเดียวกันว่า ความมั่นคงของ บล. มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการซื้อขายและความเชื่อมั่นของตลาดทุนโดยรวม”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ฝ่ายงานเลขาธิการ : 0-2695-9503-5 e-mail : sgoffice@sec.or.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ