กรุงเทพฯ--16 มี.ค.--อินโดรามา เวนเจอร์ส
- ขยายการดำเนินงานในทวีปอเมริกาใต้
- ส่งเสริมโอกาสในการสร้างการเติบโตและกำไรเพิ่มเติม ผ่านความได้เปรียบด้านขนาดและต้นทุนการดำเนินงาน
- เข้าถึงฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ต่อยอดการดำเนินงานและเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันของไอวีแอล
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลก ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในการเข้าซื้อบริษัท M&G Polimeros Brazil S.A. ซึ่งเป็นโรงงานผลิต PET ตั้งอยู่ในเมือง Ipojuca ประเทศบราซิล ถือเป็นโรงงานผลิต PET ที่ใหญ่ที่สุดในบราซิล กำลังการผลิต 550,000 ตันต่อปี มียุทธศาสตร์ที่ตั้งและได้รับประโยชน์จากการบูรณาการแบบเสมือน (Virtual Integration) กับผู้ผลิต Purified Terephthalic Acid หรือ PTA ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต PET
การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและการขออนุมัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
การเข้าซื้อกิจการในบราซิลในครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเสริมสร้างตำแหน่งทางการตลาดและขยายการดำเนินธุรกิจในตลาดหลักที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยมีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง ทำให้อินโดรามา เวนเจอร์ส สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าหลักในบราซิลและประเทศอื่นๆ ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ อินโดรามา เวนเจอร์ส อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากฐานลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันและฐานลูกค้าของบริษัท M&G เมื่อการเข้าซื้อกิจการเสร็จสิ้นและเริ่มดำเนินงานโดยสมบูรณ์ โดยบริษัทฯ คาดว่า จะสามารถสร้างการเกื้อหนุนด้านรายได้และต้นทุนในทันที อันเป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการบูรณาการแบบย้อนกลับ
อเมริกาใต้ เป็นตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญ โดยความต้องการ PET ภายในประเทศมีการเติบโตประมาณร้อยละ 5 และมีตัวเลขการบริโภค PET ต่อหัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 2.8 กิโลกรัม จึงมีศักยภาพในการเติบโตสูง นอกจากนี้บราซิลยังเป็นประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สนับสนุนโดยนโยบายภาครัฐที่มีการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดภายในประเทศ
อินโดรามา เวนเจอร์ส อยู่ระหว่างเส้นทางการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โดยมุ่งสร้างการเติบโตและมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันรักษาวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานล่าสุดที่รายงานไปเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ในปี 2560 บริษัทฯ ทำสถิติกำไรสูงสุด 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตร้อยละ 30 เมื่อเทียบปีต่อปี สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของ PET และวัตถุดิบที่มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ โตร้อยละ 68 เมื่อเทียบปีต่อปี ผลการดำเนินงานเหล่านี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ของการพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม และความรอบคอบในการเข้าซื้อกิจการ รวมถึงความสมดุลของกลุ่มผลิตภัณฑ์และภูมิภาคในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งช่วยสร้างความยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ ยังจะช่วยสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Necessities อย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายในการขยายการดำเนินงานทั่วโลกและเพิ่มขนาดในตลาดหลักที่สำคัญ
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว "เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้บรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ และได้ดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการสร้างการเติบโตของกำไร อินโดรามา เวนเจอร์สในวันนี้มีความได้เปรียบทั้งในด้านขนาดและการดำเนินงานที่เข้าถึงตลาดทั่วโลก ซึ่งครอบคลุม 5 ทวีปในปัจจุบัน ตลอดจนมีโมเดลธุรกิจที่มีความสมดุลและมีการบูรณาการอย่างเป็นเอกลักษณ์"
"การเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับเรา สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการให้บริการลูกค้าผ่านขนาดและการดำเนินงานในท้องถิ่น เราคาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดใหม่และโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อส่งมอบคุณค่าที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ทั้งในกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ขณะเดียวกันสร้างการเติบโตของกำไรและมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้น"
HSBC รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน KPMG รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและการตรวจสอบและประเมินด้านภาษี และ Mattos Filho & Lowenstein Sandler รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
เกี่ยวกับ อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ (DJSI) และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Bloomberg ticker IVL.TB) เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ Necessities และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ทั้งในกลุ่มพอลิเมอร์ เส้นใยและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงมีการบูรณาการไปยังวัตถุดิบหลักอย่างเอทิลีนออกไซต์/ไกลคอล และ PTA ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั่วโลกราว 15,000 คนและมีรายได้จากการขายรวม 8.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560