กรุงเทพฯ--19 มี.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
14 ธนาคารในไทย จับมือรัฐวิสาหกิจและองค์กรธุรกิจใหญ่ 7 แห่ง เดินหน้า Thailand Blockchain Community Initiative เพื่อนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมายกระดับประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของประเทศ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชน สร้างโครงข่ายหนังสือค้ำประกันที่สะดวกปลอดภัยบนบล็อกเชนเป็นครั้งแรกของไทย นำระบบหนังสือค้ำประกันวงเงิน 1.35 ล้านล้านบาท สู่ยุคเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 100% ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า คาดเริ่มใช้ไตรมาส 3 ปีนี้ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ในระหว่างทดสอบภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (Regulatory Sandbox) เพื่อช่วยให้พัฒนาบริการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการและภาคเศรษฐกิจของประเทศ
ดร. วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ธปท. ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นความร่วมมือในการสร้างชุมชน Blockchain นี้ขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ทั้งในภาคธนาคารที่เข้าร่วมโครงการและภาคธุรกิจ โดยการใช้เทคโนโลยีศักยภาพสูงอย่าง Blockchainที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินในหลายมิติ และปัจจุบันมีการนำมาใช้ในหลากหลายด้าน อีกทั้งโครงการนี้ก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยกลไก Regulatory Sandbox เพื่อทดสอบนวัตกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ จากความร่วมมือในการสร้างชุมชน Blockchain นี้ภาคธนาคารจะสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี Blockchain ร่วมกัน โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีเองทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการให้บริการ สำหรับภาคธุรกิจจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการเชื่อมต่อบริการเดียวกันที่มีกับต่างธนาคาร สามารถตรวจสอบข้อมูลในระบบเครือข่ายที่ใช้งานร่วมกัน ลดความเสี่ยงการปลอมแปลงข้อมูล เพิ่มความรวดเร็วและความปลอดภัยในการใช้งาน นับเป็นปรากฎการณ์อันดียิ่งในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน พร้อมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ในปี 2560 ตัวเลขประมาณการของประเทศไทยที่ออกหนังสือค้ำประกันผ่านระบบธนาคารพาณิชย์มูลค่ารวมกว่า 1.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นจำนวนมากกว่า 500,000 ฉบับ ขยายตัวจากปีที่ 2559 8% ในจำนวนนี้เป็นการออกเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 15-20% ดังนั้นโดยภาพรวมระบบเศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาการออกหนังสือค้ำประกันในรูปแบบเอกสารที่เป็นกระดาษอยู่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายและภาระในการจัดการด้านเอกสาร ทั้งสำหรับธนาคารผู้ออก และภาคธุรกิจผู้ใช้งานหนังสือค้ำประกัน
Thailand Blockchain Community Initiative ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างบล็อกเชนมายกระดับภาคธุรกิจไทย ประกอบด้วยความร่วมมือของธนาคาร 14 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารทิสโก้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารธนชาต ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารยูโอบี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) และธนาคารออมสิน และธุรกิจขนาดใหญ่ 7 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล บจก. พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง บมจ. ไออาร์พีซี และ เครือปูนซิเมนต์ไทย โดยมีบริษัทผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ให้คำปรึกษาด้านการจัดการภาพรวมของโครงการ รวมถึงด้านกฎหมาย จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ แอคเซนเจอร์เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และไอบีเอ็ม นับเป็นรูปแบบความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โครงการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนเป็นโครงการแรกภายใต้ Thailand Blockchain Community Initiative ที่ใช้โครงข่ายเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อรับรองเอกสารหนังสือค้ำประกันที่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ ปลอดภัย และมีมาตรฐานรูปแบบข้อมูลที่เป็นเอกภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ผ่านระบบ Cloud Technology จึงช่วยให้ผู้ใช้งานมีความคล่องตัวสูง เพราะสามารถกำหนดการตั้งค่าใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น รองรับการทำธุรกรรมและตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นายปรีดี กล่าวตอนท้ายว่า โครงการบริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชนนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การใช้เอกสารที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ 100% ตลอดกระบวนการตั้งแต่เริ่มจนจบโดยไม่ใช้กระดาษ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ตรวจสอบได้ง่าย ปลอมแปลงได้ยาก สะดวกรวดเร็วกว่ารูปแบบเดิม ซึ่งสามารถเข้าตรวจสอบได้ ทุกที่ ทุกเวลา และจะบันทึกประวัติต่อเป็นห่วงโซ่แบบอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เอื้อให้เกิดการเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายธนาคารและภาคธุรกิจต่างๆ เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต