กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--โอกิลวี่
ชาวสวีเดนกว่า 24,450 คนมารวมตัวกันในช่วงต้นเดือนตุลาคม เพื่อชมรอบสุดท้ายของการแข่งขัน สวีดิช ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพ (เอสทีซีซี) ที่แมนทอร์พ พาร์ค ซึ่งในที่สุด รถยนต์วอลโว่ S60 พลังเอทานอล E85 ซึ่งโรเบิร์ต ดาห์ลเกรนเป็นผู้ขับ ก็คว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันตลอดทัวนาเมนต์
ในการแข่งขันเอสทีซีซีรอบสุดท้ายเพื่อช่วงชิงเหรียญเงิน โรเบิร์ต ดาห์ลเกรนคว้าชัยชนะได้จากรถยนต์วอลโว่ S60 พลังเอทานอลคันงามของเขา ทั้งนี้แม้ว่า ทั้งโรเบิร์ต รวมถึงคู่ท้าชิงอย่างริชาร์ด โกรันส์สัน จากทีมบีเอ็มดับเบิ้ลยูจะขับรถหลุดออกจากสนามไปในโค้งแรกจนไม่สามารถทำการแข่งขันต่อได้ แต่คะแนนสะสมที่โรเบิร์ตมีอยู่ถึง 51 คะแนนก็ช่วยให้เขาคว้าชัยชนะเป็นอันดับที่ 2 ได้ในที่สุด
การแข่งขันสวีดิช ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพ (STCC) นับได้ว่าเป็นรายการแข่งขันรายการแรกของโลกสำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ E85 หรือเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันไบโอเอทานอลที่มีส่วนผสมของเอทานอล 85% ซึ่งตรงกับปรัชญาหลักในการรักษาสิ่งแวดล้อมของวอลโว่ ในการแข่งขันรอบแรกของปี 2550 โรเบิร์ต ดาห์ลเกรน จากทีมโพลสตาร์ เรซิ่ง ซึ่งเป็นทีมรถยนต์ที่วอลโว่ส่งลงแข่งขันในรายการเอสทีซีซีอย่างเป็นทางการ ได้จารึกชื่อทีมลงในประวัติศาสตร์การแข่งขันว่า เป็นผู้ชนะการแข่งขันรายแรกที่ใช้รถยนต์พลังไบโอเอทานอล และในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ต่อมาเท่านั้น ทีมวอลโว่ก็คว้าชัยชนะได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโรเบิร์ต กล่าวไว้หลังได้รับชัยชนะว่า “เหนือสิ่งอื่นใด นี่คือชัยชนะเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง”
นอกจากชัยชนะทั้ง 2 ครั้ง รถยนต์พลังไบโอเอทานอลในทีมโพลสตาร์ เรซิ่งของวอลโว่ก็คว้าชัยชนะได้อีกครั้ง โดยวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 เอาชนะคู่แข่งขันจากทีมบีเอ็มดับเบิ้ลยู และออดี้ ในการแข่งขันเอสทีซีซีรอบที่ 9 ที่ริง นุตส์ทอร์พ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ด้วยปรัชญาหลักของวอลโว่ที่มีความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งบริษัท วอลโว่ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในการรักษาสิ่งแวดล้อม ในประเทศสวีเดน การแข่งขันเอสทีซีซีถือได้ว่าเป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับวอลโว่ ที่จะได้มีส่วนร่วมในการพัฒนายานยนต์เพื่อคว้าชัยชนะในการแข่งขัน รวมทั้งมีส่วนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
“ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายแรกๆ ที่ผลิตยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ E85 วอลโว่ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก ที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันด้วยรถยนต์พลังงานเอทานอล การได้เหรียญเงินในการแข่งขันเอสทีซีซีในปีนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า การลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมของเรานั้นสัมฤทธิ์ผล” มร.พอล สโตคส์ ประธานบริหาร บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าว “ทั้งนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะบอกกับลูกค้าชาวไทยทุกคนว่า ขอให้ทุกเตรียมตัวพบกับโรเบิร์ต ดาห์ลเกรน และรถแข่งของเขาได้ในงานมอเตอร์ เอกซ์โป ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้”
ในการแข่งขันเอสทีซีซี วอลโว่ต้องขับเคี่ยวกับคู่แข่งจากทีมบีเอ็มดับเบิ้ลยู เมอร์เซเดส เบนซ์ และออดี้ ซึ่งแต่ละแบรนด์ล้วนพัฒนารถยนต์แต่ละรุ่นเพื่อการจำหน่ายในตลาดโลก ทว่าวอลโว่กลับเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างด้วยการพัฒนารถยนต์วอลโว่ S60 จำนวน 4 คันเป็นพิเศษสำหรับให้ทีมโพลสตาร์ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะ
ทั้งนี้ การบุกเบิกการพัฒนาพลังงานเอทานอลของวอลโว่ ช่วยกระตุ้นให้ทีมโพลสตาร์เข้ามาทำงานร่วมกับหน่วยวิจัยและพัฒนาของวอลโว่ คาร์ คอร์ปอเรชั่นมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ คริสเตียน ดาห์ล ผู้จัดการทีมได้ให้ความเห็นว่า “เราต้องการเป็นทีมแข่งในรายการเอสทีซีซีที่ก้าวไปไกลที่สุดในเรื่องของเทคโนโลยี การบุกเบิกเรื่องพลังงานเอทานอลของวอลโว่ช่วยให้เราเชี่ยวชาญเรื่องเทคนิคต่างๆ สำหรับการแข่งขันมากขึ้น ทั้งยังสามารถแบ่งปันความรู้ที่เรามีให้กับผู้จัดได้ด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังว่า รายการแข่งขันเอสทีซีซีน่าจะพัฒนาไปเป็นรายการแข่งขันสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อมได้ต่อไปในอนาคต”
ขณะเดียวกัน การแข่งขันรายการอื่นๆ โดยเฉพาะเวิลด์ ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพ (ดับเบิ้ลยูทีซีซี) ก็ควรปรับมาเป็นการแข่งขันที่ใช้พลังงานทดแทนเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เอฟไอเอ ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลการแข่งขันรถยนต์ระหว่างประเทศ เพิ่งจะประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถนำรถยนต์พลังเอทานอลเข้าร่วมแข่งขันในรายการดับเบิ้ลยูทีซีซีได้ในปี 2551
อเล็กซานเดอร์ มูร์เซฟสกี เชด์วิน จากวอลโว่ คาร์ สวีเดนซึ่งเป็นผู้ดูแลการเข้าร่วมแข่งขันของทีมวอลโว่ในรายการเอสทีซีซีมาตั้งแต่ปี 2543 เท้าความไปถึงการที่วอลโว่เริ่มต้นใช้คะตาไลติคคอนเวอร์เตอร์เป็นรายแรกในการแข่งขันบริติช ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพ แล้วในปีถัดมา การใช้คะตาไลติคคอนเวอร์เตอร์ จะกลายเป็นข้อบังคับสำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกทีม ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้คือ การยกประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมขึ้นมาพูดถึงในการแข่งขัน เพื่อให้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นเหมือนวัฒนธรรมในการแข่งขันเรซซิ่งรายการต่างๆ เหมือนกับที่เรื่องความปลอดภัยได้กลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการผลิตและออกแบบรถยนต์ในทศวรรษที่ผ่านมา”
จากความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า สู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรางวัลที่ได้รับ รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ มาในตอนนี้วอลโว่ได้เพิ่มประเด็นเรื่องความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง
“ในเมื่อเราเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ คงไม่มีทางไหนที่จะดีไปกว่าการได้นำเสนอรถยนต์ออกมาในหนทางที่น่าตื่นเต้นและเป็นประโยชน์ต่อโลกมากขึ้นเท่ากับวิธีนี้” อเล็กซานเดอร์ กล่าวต่อ
การแข่งขันรายการเอสทีซีซีนับได้ว่า เป็นรายการกีฬาที่มีผู้ชมเข้าชมมากเป็นอันดับที่ 3 ในสวีเดน โดยมีผู้เข้าชมมากกว่า 12,000 คนในแต่ละปี โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดชาวสวีเดนมักจะหอบลูกจูงหลานไปปิกนิก ดูการแข่งขัน และทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน จนในตอนนี้ วอลโว่ คาร์ สวีเดนได้กลายเป็นผู้นำในการจัดกิจกรรมพิเศษๆ ภายในการแข่งขันรายการนี้ไปแล้ว ซึ่งอเล็กซานเดอร์กล่าวว่า “ในแต่ละฤดูการแข่งขัน เราได้ต้อนรับผู้เข้าชมที่มาร่วมกิจกรรมพิเศษกับเราอย่างใกล้ชิดกว่า 10,000 คน ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม ล้วนเป็นคนที่หลงใหลในรถยนต์ เราจึงถือว่าทุกคนมีความสำคัญในฐานะลูกค้าที่มีค่าที่สุดของวอลโว่”
วอลโว่เป็นผู้นำในด้านพลังงานทดแทน และมีรถยนต์ที่ใช้พลังงานไบโอเอทานอลมากมายให้เลือกตั้งแต่ เอทานอล E10 ไปจนถึง E85