กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--ไอเวิร์คพีอาร์
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยเผย 4 วิธีหลักรูปแบบใหม่ในการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน (Body contouring) โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยกล่าวว่า สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของผู้หญิง เนื่องจากในเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญและอยู่ในช่วงของวันสตรีสากล โดยที่ผ่านมามีผู้หญิงจำนวนมาก มักประสบปัญหาในเรื่องของผิวพรรณและรูปร่าง โดยเฉพาะเรื่องของการหลงเชื่อจากการบริโภคข่าวสารผ่านสังคมออนไลน์ ทั้งในเรื่องของการแต่งเติมเสริมความงาม อาทิ การดูดไขมันและวิธีการสลายไขมัน รวมถึงการใช้เลเซอร์และเครื่องมือต่าง ๆ ในการดูแลส่วนสัดและรูปร่างให้คงความสวยงามไว้ตลอดนานเท่านาน นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรรับรู้เพื่อที่จะเลือกวิธีในการรักษาหรือเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้อง
อ.พญ.จันทร์จิรา สวัสดิพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน (Body contouring) โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดในปัจจุบันว่า ปัญหาเรื่องของไขมันส่วนเกินเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยพบว่าไม่เฉพาะแต่คนรูปร่างอ้วนเท่านั้นที่มีปัญหาดังกล่าว แต่คนผอมก็มีความผิดปกติของไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้เช่นเดียวกัน โดยตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น ถึงแม้ว่าการใช้วิธีการดูดไขมันส่วนเกินจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง พบว่ามีความเสี่ยงระหว่างการรักษา ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการดมยาสลบทั้งก่อนและระหว่างการรักษา การมีแผล มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือมีรอยฟกช้ำได้มา ก ทำให้ต้องอาศัยเวลาในการดูแลฟื้นฟูหลังการรักษานาน ดังนั้นจึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการรักษาเรื่องของไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเครื่องมือดังกล่าวสามารถลดไขมันโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัวมาก ไม่มีแผล มีผลข้างเคียงน้อย และไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษานาน
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่พบว่าใช้ได้ผลดีประกอบด้วย 1.การลดไขมันโดยการใช้ความเย็น (Cryolipolysis) โดยพบว่าเซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่มีความไวกับความเย็นได้มากกว่าเซลล์ผิวหนังส่วนอื่นๆทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายตามมาหลังการรักษาเพียง 1-2 ครั้ง โดยการรักษาจะเริ่มเห็นผลได้ดีในช่วง 4 -12 สัปดาห์หลังการรักษา 2.การลดไขมันโดยการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency) เพื่อทำให้เกิดความร้อนในบริเวณชั้นไขมัน ซึ่งถ้านานเพียงพอจะทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย การรักษาชนิดนี้มักต้องทำซ้ำหลายครั้ง (ขึ้นกับเครื่องมือที่ใช้) จึงจะเห็นผลได้ดีในการลดไขมัน 3. การลดไขมันโดยการใช้อัลตราซาวด์ (High-Intensity Focused Ultrasound ; HIFU) ซึ่งอัลตราซาวด์จะทำให้มีการสั่นของเนื้อเยื่อเป้าหมายอย่างรวดเร็วและเกิดความร้อน ซึ่งจะทำลายไขมันตามมา การรักษาชนิดนี้มักทำ 1-2 ครั้ง ก็สามารถเห็นผลได้ดี และ 4. การลดไขมันโดยการใช้เลเซอร์ (Low-level laser therapy) เป็นการใช้เลเซอร์เพื่อทำให้เซลล์ไขมันมีขนาดเล็กลง ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่าเทคโนโลยีทั้ง 4 วิธี สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยการดมยาสลบ เครื่องมือบางชนิดทำได้โดยไม่ต้องอาศัยยาชา บางชนิดอาศัยเพียงการทายาชาเฉพาะที่ผิวหนังเพื่อทำให้รู้สึกสบายมากขึ้นขณะทำเท่านั้น หลังการรักษาผู้ป่วยไม่ต้องพักฟื้นนาน ส่วนมากสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำ โดยผลข้างเคียงที่พบมีรายงานไม่มาก ส่วนมากพบเพียงอาการปวดหรือเจ็บเล็กน้อยขณะทำ พบมีอาการบวมแดงหรือมีรอยช้ำหลังทำได้ซึ่งมักหายได้เองในเวลาไม่นาน ส่วนการรักษาด้วยวิธีอื่นเช่นการฉีดสารเข้าใต้ผิวหนัง (Mesotherapy) พบว่ายังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจนของยาที่นำมาฉีด ในประเทศไทยหรือแม้แต่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก สารต่าง ๆเหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาเพื่อนำมาใช้ฉีดเพื่อลดไขมันเฉพาะส่วน ดังนั้นการนำยามาใช้ผิดประเภทอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ อีกทั้งจากการศึกษาและรายงานเคสผู้ป่วยของต่างประเทศยังพบผลข้างเคียงหลังการฉีดสารเพื่อลดไขมันเช่นพบมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรียในตำแหน่งที่ฉีด หรือกรณีสารที่ใช้ฉีดมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่อาจพบทำให้มีอาการบวม มีรอยแตกลายของผิวหนังตามมาได้