กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--บลจ.บัวหลวง
ผู้ถือหน่วยกองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 มีเฮ หลังกองทุนบัวหลวงประกาศจ่ายเงินปันผล 2.80 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 30 มีนาคม 2561
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 (BBASIC) ประกาศตัวเลขจ่ายเงินปันผลอย่างงามให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน เนื่องจากที่ผ่านมา กองทุนมีการสะสมกำไรมาโดยตลอดจากผลประกอบการที่ดี แม้ว่าในปีที่แล้วจะพบกับความผันผวนของภาวะตลาดก็ตาม
"การจ่ายเงินปันผลค่อนข้างดีมากๆ ในครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของกองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 ที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นการตอบแทนนักลงทุนที่ให้ความมั่นใจกับการบริหารงานของกองทุนบัวหลวงด้วย" นายพีรพงศ์ กล่าว และเสริมว่า กองทุน BBASIC จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ครั้งที่ 7 ผลการดำเนินงานระยะเวลาระหว่างวันที่ 17 กันยายน 2560 ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2561 ในราคาหน่วยละ 2.80 บาท โดยกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 30 มีนาคม 2561
"สำหรับภาพรวมของปี 2561 นี้ เราเชื่อมั่นว่า กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 จะมีผลประกอบการที่ดีกว่าปีก่อนที่ประสบกับภาวะผันผวน เพราะแนวโน้มธุรกิจที่อยู่ในหมวดอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค เป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้บริโภคในสังคม"
กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 (BBASIC) มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยจ่าย 2 ครั้งในปี 2560 และปี 2559 ขณะที่ในปี 2558 และปี 2557 จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการของกองทุนถือว่าดีมาโดยตลอด เนื่องจากมีนโยบายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี โดยเมื่อรวมอัตราปันผลครั้งนี้ BBASIC ปันผลแล้วประมาณ 8.25 บาทต่อหน่วยฯ
จากเทรนด์ใหม่ของการใช้ชีวิตที่ดี "กินดี อยู่ดี ดูดี สุขภาพดี" ทำให้คนในสังคมปัจจุบันมีความพิถีพิถันมากยิ่งขึ้นในการบริโภคสินค้า และบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้สินค้าหรือบริการในหมวดปัจจัย 4 ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค มีการปรับปรุงคุณภาพในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มไปด้วย (value-added)
"ปีที่แล้ว หมวดพลังงาน ธนาคาร หรือโครงสร้างพื้นฐานมีอัตราการเติบโตกว่าหมวดอื่นๆ แต่เรามองว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังซื้อของประชาชน ราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาข้าว หรือราคายาง จะช่วยทำให้การบริโภคโดยรวมในประเทศมีการเติบโต" นายพีรพงศ์ กล่าว
"ในส่วนของโรงพยาบาล ปีที่ผ่านมา พบว่า ชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการน้อยลง แต่ในปีนี้น่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ตามแนวโน้มของการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยสูงถึง 40 ล้านคน สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมีเนียมที่มีการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม จะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เช่นเดียวกับทาวน์เฮาส์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับรอง (second tier) ก็จะไปได้ดี เพราะบางคนคิดว่า การซื้อทาวน์เฮาส์ในระดับราคาเดียวกันกับคอนโดมีเนียม แม้ว่าจะอยู่ไกลออกไปบ้าง แต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า ส่วนเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่มย่อมเติบโตได้ดีเช่นกัน ดังนั้น เมื่อกำลังซื้อดีขึ้น ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นอันดับแรกอยู่แล้ว"
กองทุน BBASIC มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นของกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 (สุขภาพ) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และกองทุนบัวหลวงเชื่อมั่นว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ผลประกอบการในเซ็คเตอร์นี้จะออกมาดี โดยกองทุนจะมุ่งเน้นลงทุนในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจการบริการ ได้แก่ หมวดการแพทย์ และหมวดพาณิชย์ รวมกันเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
กองทุน BBASIC เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่มีความสนใจลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ซึ่งได้รับประโยชน์จากเทรนด์ใหม่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปเงินปันผลระหว่างการลงทุนในระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนในระยะสั้น
ผู้สนใจสามารถติดต่อลงทุนกองทุน BBASIC ได้ที่ กองทุนบัวหลวง โทร. 0 2674 6488 กด 8 หรือตัวแทนขายหน่วยลงทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ตัวแทนขายของกรุงเทพประกันชีวิต บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง บมจ.หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) และบมจ.หลักทรัพย์ ภัทร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือติดตามข้อมูลลงทุนได้ที่ www.bblam.co.th และ BF Application
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต