กรุงเทพฯ--28 มี.ค.--กรมส่งเสริมการเกษตร
กรมส่งเสริมการเกษตรเตือนเกษตรกรชาวสวนมะม่วงระวังโรคแอนแทรคโนสบุกทำลายผลผลิตในช่วงร้อนชื้น
นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเตือนเกษตรกรชาวสวนมะม่วงในทุกภาคของประเทศไทยว่า เนื่องจากในช่วงนี้หลายพื้นที่มีฝนตก สภาพอากาศร้อนชื้น ให้ระวังการเข้าทำลายของโรคแอนแทรคโนสมะม่วง โดยเฉพาะมะม่วงที่อยู่ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวและเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งการทำลายของโรคเกิดได้กับทุกส่วนของมะม่วงและทุกระยะการเจริญเติบโต สาเหตุเกิดจากเชื้อรา Colletotrichum gloesporioides Penz. อาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า คือ ที่ใบอ่อนจะเกิดแผลสีน้ำตาล ขอบแผลสีน้ำตาลเข้ม ขนาดแผลไม่แน่นอน เมื่อแผลขยายติดกันจะเกิดอาการไหม้ บิดเบี้ยว บริเวณต้นอ่อนและกิ่งอ่อน ก้านช่อดอกจะพบจุดแผลหรือขีดขนาดเล็กสีน้ำตาลแดงประปราย ขยายออกตามความยาว แผลบนต้นหรือกิ่งที่อ่อนมาก ๆ จะลุกลามทำให้กิ่งแห้ง เน่าดำทั้งต้น สำหรับบริเวณด้านบนของก้านช่อดอก จุดแผลมักขยายเชื่อมติดกัน เกิดอาการก้านช่อดำ กลีบดอกและผลอ่อนที่ถูกทำลายจะเป็นสีดำ และหลุดร่วง ผลแก่และผลสุกหลังเก็บเกี่ยวจะเกิดจุดแผลสีน้ำตาลถึงดำ แผลยุบตัวลึกลงไปในเนื้อผลมะม่วง ขนาดแผลไม่แน่นอนและลุกลามอย่างรวดเร็ว บริเวณกลางแผลอาจพบเมือกสีส้ม
สำหรับวิธีการป้องกันกำจัดนั้น แนะนำให้เกษตรกรหมั่นสำรวจสวนมะม่วงอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กำจัดวัชพืชภายในสวนให้สะอาด ตัดแต่งกิ่งมะม่วงให้โปร่ง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี และตัดแต่งกิ่งก้านและใบที่เป็นโรคนำไปฝังหรือเผาทำลาย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งของเชื้อที่อาจแพร่ระบาดในสวนมะม่วงได้ กรณีที่จำเป็นต้องใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช สามารถเลือกพ่นสารกำจัดได้สองชนิด ได้แก่ ชนิดดูดซึม เช่น เบนโนมิล, คาร์เบนดาซิม, อะซอกซี่สะโตรบิน, ไธโอฟาเนท-เมทธิล และโปรคลอราช หรือชนิดที่ไม่ดูดซึม เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์, แมนโคเซบ, โปรพิเนบ และแคปแทน โดยชนิดดูดซึมจะเหมาะสมสำหรับพ่นในช่วงฝนชุกหรือใกล้เก็บเกี่ยว เพราะช่วยลดปัญหาการเกิดผลเน่าได้ ส่วนในระยะอื่นควรพ่นสารสลับกันบ้างทั้งชนิดดูดซึม และชนิดไม่ดูดซึม เพื่อป้องกันการปรับตัวต้านทานสารกำจัดของโรคพืช ทั้งนี้ ให้ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชอัตราตามคำแนะนำในฉลาก
รองอธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคแอนแทรคโนสมะม่วง จัดเป็นโรคที่สำคัญในระยะใกล้เก็บเกี่ยว และหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตมะม่วง ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการส่งผลผลิตไปจำหน่ายทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมะม่วงที่ใช้รับประทานแบบผลสุก และเปลือกบางจะถูกเชื้อ
เข้าทำลายได้ง่าย เช่น พันธุ์น้ำดอกไม้ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากตลาดต่างประเทศ จึงขอให้เกษตรกรหมั่นสำรวจสวนมะม่วงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มพบอาการของโรค ให้รีบขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อหาทางควบคุมและดำเนินการป้องกันกำจัดทันที