กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--กบข.
กบข.เผยแนวโน้มการออมของคนไทยในช่วงที่ผ่านมาลด หลังเศรษฐกิจซบ แนะทุกภาคส่วนส่งเสริมการออม หวั่นเงินไม่พอใช้หลังวัยเกษียณ
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการออมของคนไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า แนวโน้มอัตราการออมของคนไทยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ และมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในอดีตเมื่อปี 2542 คนไทยมีอัตราการออมอยู่ที่ร้อยละ 13.7 ของรายได้บุคคล และลดลงอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ในปี 2545 ซึ่งจริงๆ แล้วคนไทยน่าจะมีแนวโน้มการออมที่เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่สูงขึ้นในแต่ละปี ที่ไม่เป็นเช่นนั้นอาจจะเกิดจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่จูงใจให้ประชาชนทำการออมได้มากเท่าที่ควร
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้พยายามส่งเสริมการออมมาโดยลำดับ โดยนำทฤษฎีระบบบำนาญแบบ Multi-pillar ของธนาคารโลกมาอ้างอิง ดังจะเห็นได้จากการกำหนดให้ผู้ทำงานในภาคเอกชนส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนประกันสังคม ในขณะที่ข้าราชการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
นอกจากนี้ รัฐยังมีมาตรการทางภาษีที่ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนเพิ่มระดับการออมให้มากขึ้น อาทิ การลดหย่อนภาษีให้กับบุคคลผู้ทำประกันชีวิต (ที่มีอายุสัญญาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป) หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ออมเงินผ่านกองทุนเพื่อการออมแบบผูกพันไม่ว่าจะเป็นกองทุนประกันสังคม หรือ กบข. รวมทั้งการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่ซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-term Equity Fund) ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาออมเงินเพื่อการเกษียณอายุกันมากขึ้น
เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. กล่าวอีกว่า การที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทั้งภาครัฐและตัวประชาชนเองควรตระหนักและให้ความสำคัญก็คือ การออมของบุคคล เนื่องจากอัตราการออมที่ค่อนข้างต่ำของคนไทยจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของปัญหาคุณภาพชีวิตหลังวัยเกษียณอายุ ดังนั้นทุกภาคส่วนในสังคมจึงควรให้ความสำคัญและร่วมมือกันออมเพื่อทำวัยเกษียณของเราให้เป็นการใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุขและมีศักดิ์ศรี
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ยุวพร นนท์ภาษโสภณ
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ( กบข.)
Government Pension Fund
Tel. 02-636-1000 Ext.263 , 01-612-2322
Fax. 02-636-1691