กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--กรมส่งเสริมสหกรณ์
อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมลงนาม MOU กรมการข้าว-กรมการปกครอง เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน เพื่อช่วยเหลือในด้านการส่งเสริมอาชีพการเกษตรและพิสูจน์ตัวตนเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วแม่นยำขึ้น หวังช่วยลดปัญหาผู้แอบแฝง เตรียมผุดโครงการแรกร่วมกรมการข้าวส่งเสริมสมาชิกสหกรณ์การเกษตรปลูกข้าวกข.43 ป้อนตลาด ส่วนการเชื่อมข้อมูลกับกรมการปกครองสามารถอ้างอิงกับเลขบัตรประชาชน 13 หลักเพื่อตรวจสอบฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์กับทะเบียนราษฎร์ได้
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ พร้อมด้วยนายสุวัฒน์ เจียระคงมั่น รองอธิบดีกรมการข้าว และนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลให้มีความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับงานบริการภาครัฐสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งนับว่าเป็นภารกิจสำคัญใน การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของประเทศ
โดยนายพิเชษฐ์ กล่าวภายหลังการลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศร่วมกับทั้งสองหน่วยงานดังกล่าว ว่า การลงนาม MOU ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งสมาชิกสหกรณ์ในภาคการเกษตรและสมาชิกสหกรณ์ที่อยู่นอกภาคการเกษตร ซึ่งปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์มีทะเบียนสมาชิกสหกรณ์จำนวน 11 ล้านรายชื่อ และเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์ที่ต้องมีทะเบียนสมาชิกสหกรณ์ทุกคน เมื่อมีข้อมูลทะเบียนสมาชิกแล้ว จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในการเข้าไปส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกของสหกรณ์ โดยเฉพาะสมาชิกสหกรณ์ในภาคเกษตร ก็จะได้นำฐานข้อมูลของสมาชิกไปเชื่อมโยงกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมการค้าและหน่วยงานทางด้านเกษตรอื่นๆ ด้วย
ทั้งนี้ ในความร่วมมือด้านฐานข้อมูลกับกรมการข้าว เป็นการเชื่อมโยงกับทั้ง 2 ฝั่งคือ กรมการข้าวต้องการข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ในเรื่องต่าง ๆ ที่สหกรณ์และสมาชิกดำเนินการอยู่ เช่น อุปกรณ์ทางการตลาด โรงสี การแปรรูปและการรวบรวมต่างๆ เนื่องจากกรมการข้าวต้องการข้อมูลไปใช้ในการวางแผนเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ต่างๆ ให้สอดรับกับจุดรับซื้อข้าว ขณะที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะได้ในส่วนของข้อมูลเกษตรกรที่เป็นชาวนาที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เมื่อหน่วยงานภาครัฐต้องการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ จะได้นำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการให้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
"ในอนาคตถ้าระบบงานของกรมส่งเสริมสหกรณ์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เราอาจจะการเชื่อมโยงในหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะนี้ยังขาดในเรื่องความสมบูรณ์ จึงต้องทำเท่านี้ก่อน แต่หลังจากลงนาม MOU เสร็จแล้ว เราก็สามารถดึงข้อมูลของทั้ง 2 หน่วยงานเข้ามาบูรณาการร่วมกัน เพื่อส่งเสริมงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป สิ่งที่จะเริ่มทำเป็นอันดับแรก คือ การจัดการฐานข้อมูลสมาชิกและการเข้าไปช่วยเหลือชาวนา โดยโครงการแรกที่จะเริ่มคือ โครงการข้าว กข. 43 ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์จะดำเนินการร่วมกับกรมการข้าว ซึ่งกรมการข้าวเข้าไปส่งเสริมและช่วยเหลือชาวนาในการปลูกข้าว กข. 43 และได้มีการพูดคุยกันว่า น่าจะทำในพื้นที่สหกรณ์ที่มีโรงสี มีจุดรวบรวม เพื่อที่จะให้สหกรณ์ได้เข้ามาดูแลสมาชิกได้ด้วย ซึ่งโครงการนี้จะเกิดขึ้นในปีนี้เป็นปีแรก"นายพิเชษฐ์ กล่าว
นายพิเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงนามความร่วมมือกับกรมการปกครอง จะเป็นการช่วยในการพิสูจน์ตัวตนของสมาชิกสหกรณ์ เนื่องจากกรมการปกครองมีระบบในการตรวจสอบและพิสูจน์ตัวตนที่มีความทันสมัย และสามารถพิสูจน์ตัวตนของทุกคนในประเทศไทยได้หมด เพราะว่าฐานข้อมูลทะเบียนสมาชิกสหกรณ์ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์มีอยู่ ยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร มีเพียง 70%-80% ของฐานข้อมูลสมาชิก ส่วนอีก 20%-30% จะเป็นการไปขอตรวจสอบกับกรมการปกครองเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง
อย่างไรก็ตามในการพิสูจน์ตัวตนของสมาชิกสหกรณ์ หลายครั้งที่มีบุคคลเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์ แต่กรมส่งเสริมสหกรณ์ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ว่า เป็นใคร มาจากไหน และภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ถ้าสามารถเชื่อมโยงกับกรมการปกครองได้จะสามารถพิสูจน์ตัวตนได้ว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ รวมถึงสามารถพิสูจน์การทำธุรกรรมกับสหกรณ์ได้ด้วย ซึ่งถ้าหลังจากพิสูจน์ตัวตนแล้ว พบว่า มีความผิดปกติ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะส่งไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการต่อไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของบุคคลที่จะเข้ามาโดยใช้นามแฝง เพราะเดิมทีจะรู้แต่ชื่อ ไม่รู้ว่าตัวตนว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งคาดหวังว่าการร่วมมือกับกรมการปกครองในการตรวจสอบข้อมูลตัวบุคคลจะช่วยพิสูจน์ได้เร็วขึ้นและเกิดความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ด้านนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่เล็งเห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงในการใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่รัฐบาลพยายามพัฒนา ส่งเสริมและผลักดัน โดยให้กรมการปกครองเอาข้อมูลทะเบียนราษฎร์นำมาให้ส่วนราชการได้ใช้เป็นข้อมูล เพื่อลดภาระของประชาชนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการคัดสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนด้วย ดังนั้น การที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้นำข้อมูลทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนมาใช้ จะเป็นผลดีให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานให้เป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และสามารถบอกข้อมูลได้อย่างถูกต้องและชัดเจนผ่านการอ้างอิงหมายเลขประชาชน 13 หลัก
ส่วนการเชื่อมโยงข้อมูลประวัติอาชญากรนั้น เป็นการเชื่อมโยงอีกระบบหนึ่งที่เรียกว่า ลิงค์เกต เซ็นเตอร์ (Link Gate Center) โดยให้ส่วนราชการต่างๆ ที่มีข้อมูลของตนเองให้เป็นระบบดิจิทัล เช่น การที่กรมส่งเสริมสหกรณ์มีทะเบียนประวัติข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ก็สามารถทำให้เป็นระบบดิจิทัลได้ เมื่อต้องการตรวจสอบว่า ผู้ใดเป็นสมาชิกของสหกรณ์บ้างก็สามารถเข้าระบบตรวจสอบได้ เพียงแจ้งเลข 13 หลัก ชื่อและนามสกุล ก็จะทำให้ทราบข้อมูลได้ทันที และไม่ต้องกังวลว่า ข้อมูลที่ส่งผ่านอิเลคทรอนิกส์จะรั่วไหล หรือทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากระบบจะสามารถตรวจสอบได้ว่า ผู้ใดที่เข้าไปตรวจสอบ เมื่อไหร่ เวลาไหน และถ้าการเข้าไปดูข้อมูลเกิดความเสียหาย จึงเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบผู้ใช้งานได้
"ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กรมการปกครองจะมีส่วนช่วยเติมเต็มและมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบโปรแกรมต่างๆ ที่ได้ร่วมมือกันในวันนี้ และหวังว่าในอนาคตจะได้มีการพัฒนาลักษณะงานออกมาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า จะนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และหวังว่าการได้ทำงานร่วมกันครั้งนี้ จะทำให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยในอนาคตต่อไป"นายชำนาญวิทย์ กล่าว