กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค ญี่ปุ่น หุ้นทุน (K-JP) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 - 31 มีนาคม 2561 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย โดยจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2561 และมีกำหนดจ่ายเงินในวันที่ 17 เมษายน 2561 นี้ รวมมูลค่าการจ่ายปันผลทั้งสิ้นกว่า 79.46 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-JP ที่ผ่านมา นายนาวินกล่าวว่า นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือนธันวาคม 2557 หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 1.95 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมา (1 ก.ค. 60 - 31 มี.ค. 61) กองทุนมีการจ่ายปันผล 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 5.57% ต่อปี ด้านผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนของกองทุน K-JP ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.92% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3.00% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 15.76% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 12.12% (ข้อมูล ณ วันที่ 29 มี.ค. 2561) ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนหลัก ที่เน้นหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นต่ำ (P/E) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูง (ROE) นอกจากนี้กองทุน K-JP ยังได้รับการจัดเรตติ้ง 4 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์
กองทุน K-JP มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Schroder International Selection Fund Japanese Equity, Class A Acc ซึ่งบริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Luxembourg) S.A. บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำระดับโลก โดยกองทุนหลักถือเป็นหนึ่งในกองทุนหุ้นญี่ปุ่นชั้นนำขนาดใหญ่ ที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นบริษัทญี่ปุ่นที่มีผลประกอบการดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง และมีความยั่งยืนในการเติบโตของธุรกิจ โดยไม่จำกัดหมวดหมู่ของอุตสาหกรรมหรือขนาดของบริษัท เพื่อความคล่องตัวในการลงทุน ทั้งนี้ กองทุน K-JP เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับค่อนข้างสูง และเป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งมุ่งหวังให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับกองทุนหลักให้มากที่สุด
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดย GDP ไตรมาส 4/2560 เติบโต 1.6% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับขึ้นจากที่ประมาณการในรอบก่อนหน้าที่ 0.5% และนับเป็นการเติบโตต่อเนื่องถึง 8 ไตรมาสติดต่อกัน ด้วยแรงหนุนจากการบริโภคที่ฟื้นตัว ขณะที่การส่งออกยังเติบโตได้ดี โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของ อุปสงค์ภายนอกประเทศ นอกจากนี้การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงนโยบายแบบผ่อนคลายเชิงรุกในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ยังช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบ และนายคุโรดะ ประธานธนาคารกลางยังแสดงมุมมองที่ Dovish หนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายไปทั้งปีนี้
"ส่วนมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่น บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะกลางถึงยาว จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้น ประกอบกับระดับราคาหุ้นญี่ปุ่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยยังแนะนำให้ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น สามารถเข้าลงทุนเพิ่มเติมได้ รวมถึงนักลงทุนปัจจุบันที่มีการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ให้ถือต่อเนื่องเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยระยะสั้นที่จะต้องติดตาม คือประเด็นเรื่องการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนที่ยังมีความผันผวนต่อเนื่องด้วย" นายนาวินกล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-JP ของบลจ.กสิกรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
K-JP 1กรกฎาคม2560-31มีนาคม2561 0.20
*คิดจาก NAV วันที่ 29 มี.ค.61
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน K-JP ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้