กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--กรมส่งเสริมสหกรณ์
กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืนยันตรวจสอบสหกรณ์นำเงินไปลงทุนในหุ้นบลจ. ไม่พบสิ่งผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่ลงทุนตามข้อกำหนดชัดเจน โดยเลือกลงทุนกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง แต่ก็แจ้งเตือนเรื่องการลงทุนมีความเสี่ยงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีของสหกรณ์ออมทรัพย์ตั้งกองทุนส่วนบุคคลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ว่า ปัจจุบันการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ในกรณีที่นำเงินไปลงทุนในหุ้นสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.สหกรณ์ มาตรา 62 (7) ซึ่งจะมีประกาศของคณะกรรมการพัฒนาสหกรณ์แห่งชาติกำหนดรายละเอียดของการลงทุนไว้ชัดเจน ด้วยการให้สหกรณ์ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียน (บลจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหุ้นที่ลงทุนนั้น จะต้องเป็นหุ้นของบลจ.ที่ถูกจัดอันดับอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าเอลบ (A-) และต้องเป็นหุ้นที่มีการค้ำประกัน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งหมดที่นำเงินไปลงทุนลักษณะดังกล่าว พบว่า ขณะนี้ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ และไม่ได้มีข้อกังวลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการลงทุนของสหกรณ์ต่างๆ ที่นำเงินไปลงในหุ้นนั้น พบว่า ปัจจุบันมีวงเงินรวมกันประมาณ 180,000 ล้านบาท และทั้งหมดเป็นการลงทุนในหุ้นที่ไม่ต่ำกว่าระดับ A- โดยบลจ.ส่วนใหญ่ที่ทางสหกรณ์นำเงินไปลงทุนถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง จึงมีโอกาสเสียหายน้อย และความเสี่ยงน้อย ยกเว้นในกรณีของบริษัทเหล่านี้ เกิดปัญหาและถูกจัดอันดับให้ต่ำลงจนถึงระดับบี (B) กรมส่งเสริมสหกรณ์จะเข้าไปตรวจสอบและหาทางแก้ปัญหา แต่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดขึ้น แต่เพื่อสร้างความมั่นใจทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จะติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
"กรณีที่เกิดขึ้นกับสหกรณ์ที่นำเงินลงไปหุ้นเหล่านี้ ยังอยู่ในระดับที่กรมฯ คุมได้ ถ้าสหกรณ์ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามประกาศ แล้วมีการตรวจสอบอยู่เสมอ จะไม่มีความเสี่ยง ที่ผ่านมาเมื่อกรมฯ ไปตรวจเจอถ้าเป็นหุ้นเกรดต่ำกว่านี้ ก็สั่งให้แก้ไข ซึ่งการลงทุนนั้น นับว่ามีความเสี่ยง กรมฯ จึงเตือนสหกรณ์ต่างๆ ว่า ต้องติดตามสภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพราะมีความผันผวน โดยตลอด ไม่รู้ว่าโตขึ้นหรือไม่ ถ้าเศรษฐกิจโตตลาดทุนก็ต้องการเงินขยายธุรกิจหุ้นขึ้น เมื่อเศรษฐกิจซบเซาหุ้นลง การลงทุนไม่มี ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ดอกเบี้ย 5-6% ก็หลือ 3-4% แล้วกรรมการที่บริหารสหกรณ์ก็ไปแบกรับความคาดหวังสมาชิกได้เงินปันผลต่อปี จึงอาจทำให้เกิดเสียหายขึ้นมาได้"
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ในแนวทางการควบคุม ที่ผ่านมากรมฯ ควบคุมเฉพาะการลงทุนให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ โดยที่ไม่ได้จำกัดวงเงินการลงทุน เพราะการลงทุนในลักษณะนี้เมื่อก่อนปี 2542 ไม่เคยเกิดขึ้น จนกระทั่งหลังปี 2542 กฎหมายเปิดให้ลงทุนได้ และในช่วงประมาณ 3-4 ปีให้หลังมานี้ สหกรณ์ต่างๆ มีเงินอยู่ในระบบจำนวนมาก จึงหาช่องทางไปลงทุนต่อ แต่อย่างไรก็ดีในขณะนี้กรมฯ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาการออกเกณฑ์มากำกับการลงทุนในหุ้นของสหกรณ์ไม่ให้เกิน 20% ของทุนเรือนหุ้นรวมทุนสำรอง คาดว่า ในเร็วๆ นี้ จะได้ข้อสรุปและสามารถผลักดันออกมาได้
รองอธิบดีฯ กล่าวต่อว่า เกณฑ์กำกับดังกล่าวเมื่อออกมาแล้วอาจทำให้สหกรณ์ประมาณ 10 แห่ง ได้รับผลกระทบ เพราะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเกินกว่า 20% ซึ่งจากการสำรวจพบว่า สหกรณ์เหล่านี้นำเงินไปลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหา กรมฯ กำลังหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางผ่อนเกณฑ์การบังคับ ด้วยการขยายเวลาให้สหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบสามารถปรับตัวได้ทัน และค่อยๆลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงปีละ 20% จนกลับเข้ามาอยู่ในระดับที่เกณฑ์กำหนด