กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--เจแอลแอล
ในขณะที่จีนมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์การเมืองโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทต่างๆ ของจีนกำลังขยายธุรกิจออกไปยังทั่วโลกมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนเข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก และเช่าใช้พื้นที่สำนักงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ตามรายงานการวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล
รายงานฉบับดังกล่าวของเจแอลแอลมีชื่อว่า China12: China's Cities Go Global ซึ่งวิเคราะห์ 12 หัวเมืองบนแผ่นดินใหญ่ของจีน (China 12) ในประเด็นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและการปฏิสัมพันธ์กับส่วนอื่นของโลก รวมถึงการศึกษาองค์กร/บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนและอิทธิพลที่กลุ่มบริษัทเหล่านี้มีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างแดน
เจรามี เคลลีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของเจแอลแอลทั่วโลก กล่าวว่า "ทั้ง 12 หัวเมืองบนแผ่นดินใหญ่ของจีน เป็นที่ตั้งของบริษัทรุ่นใหม่ที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีความเคลื่อนไหวและความมุ่งหวังสูงที่จะเติบโต และจะกลายเป็นคลื่นลูกต่อไปที่จะขยายธุรกิจออกไปยังทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากการที่มีบริษัทจีนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานานแล้วและที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ได้ขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
บริษัทรายใหญ่ที่สุดของจีนหลายบริษัทเป็นผู้บุกเบิกในการขยายธุรกิจออกไปในต่างแดนและกลายเป็นแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลกในด้านนวัตกรรม ซึ่งหากเทียบขนาดแล้ว แบรนด์ใหญ่ของจีน ดังเช่น ไป๋ตู้ (Baidu) อาลีบาบา (Alibaba) และ เทนเซ็นต์ (Tencent, เจ้าของ WeChat) อยู่บนสังเวียนการแข่งขันกับกูเกิ้ล (Google) อเมซอน (Amazon) และเฟซบุ๊ก (Facebook) ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านฮาร์ดแวร์ของจีน ดังเช่น หัวเว่ย (Huawei) แซตทีอี (ZTE) และเลอโนโว (Lenovo) เป็นตัวอย่างของบริษัทจีนที่มีการขยายธุรกิจออกไปทั่วโลกอย่างกว้างขวางมากที่สุด
ในบรรดาเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่บริษัทจีนขยายเข้าไปทำธุรกิจ มีหลายๆ เมืองของเอเชียที่เป็นเป้าหมายสำคัญ อาทิ สิงคโปร์ โตเกียว โซล จาการ์ตา กรุงเทพฯ และเดลี
10 อันดับเมืองที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับจีนมากที่สุดในโลก
1. สิงคโปร์
2. นิวยอร์ก
3. ซิดนีย์
4. โตเกียว
5. โซล
6. ลอนดอน
7. กรุงเทพฯ
8. ลอสแอนเจลิส
9. เมลเบอร์น
10. ซานฟรานซิสโก
10 อันดับเมืองที่บริษัทใหญ่ของจีนเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุด
1. สิงคโปร์
2. ลอนดอน
3. โตเกียว
4. นิวยอร์ก
5. โซล
6. จาการ์ตา
7. มอสโก
8. ลอสแอนเจลิส
9. ซิลิคอน วัลเลย์
10. กรุงเทพฯ
10 อันดับเมืองที่บริษัทใหญ่ของจีนมีการเช่าใช้พื้นที่สำนักงานมากที่สุด
1. เดลี
2. แมดริด
3. กรุงเทพฯ
4. มิวนิก
5. กัวลาลัมเปอร์
6. มอสโก
7. ซิดนีย์
8. อิสตันบุล
9. มะนิลา
10. จาการ์ตา
10 อันดับเมืองที่นักลงทุนจีนเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด
1. นิวยอร์ก
2. ลอนดอน
3. ซิดนีย์
4. โตเกียว
5. ลอสแอนเจลิส
6. เมลเบอร์น
7. ซานฟรานซิสโก
8. ชิคาโก
9. สิงคโปร์
10. ซิลิคอน วัลเลย์
หมายเหตุ
- เมืองที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับจีนมากที่สุด วัดจากตัวแปร 40 ตัวแปรซึ่งแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ทุน บริษัท/องค์กร ประชาชน สาธารณูปโภค (เส้นทางคมนาคม) และการค้า
- เมืองที่นักลงทุนจีนเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด วัดจากมูลค่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์เชิงธุรกิจ (ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย) โดยนักลงทุนจีนระหว่างปี 2557-2560
- เมืองที่บริษัทใหญ่ของจีนเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุด วัดจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ของจีน 81 บริษัท
- เมืองที่บริษัทใหญ่ของจีนมีการเช่าใช้พื้นที่สำนักงานมากที่สุด วัดจากปริมาณการเช่าพื้นที่สำนักงานของบริษัทจีนใน 70 เมืองสำคัญๆ ทั่วโลกระหว่างปี 2558-2560
ที่มา – เจแอลแอล
สิงคโปร์ เป็นเมืองอันดับหนึ่งที่มีบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ขยายเข้าไปเปิดดำเนินธุรกิจมากที่สุดในโลก เนื่องจากสิงคโปร์เป็นแหล่งธุรกิจที่มีเสถียรภาพและความโปร่งใสสูงสุดในเอเชีย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับจีน และมีชัยภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นตามมาในอันดับที่ 2 และกรุงโซลของเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 5 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทใหญ่ของจีนจำนวนมากต้องการเปิดดำเนินธุรกิจในเมืองหน้าด่านและศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ส่วนจาการ์ตาอยู่ในอันดับที่ 6 และกรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 10 เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคสำคัญที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนต้องการขยายเข้าไปทำธุรกิจมากที่สุด ส่วนกรุงเดลีของอินเดียตามมาในอันดับที่ 13 เนื่องจากเป็นเมืองหลวงของประเทศที่มีประชากรมากกว่าพันล้าน
นายเคลลีย์อธิบายว่า "การขยายธุรกิจเข้าไปในเมืองเหล่านี้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอันเป็นตลาดที่มีการเติบโต ช่วยให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ของเอเชียซึ่งประกอบด้วยเป็นกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากและกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ มีบริษัทชั้นนำของจีนจำนวนมากที่แสดงความสนใจในธุรกิจสตาร์ทอัพของอินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรือง ดังจะเห็นได้จากการมีบริษัทจีนจำนวนมากในกลุ่มอีคอมเมอร์สและสินค้าอุปโภคประเภทอีเล็กทรอนิกส์ เข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงในประเทศเหล่านี้บางประเทศ"
ในอนาคตอันใกล้ การขยายธุรกิจของบริษัทจีนที่เพิ่มมากขึ้นในหลายๆ เมืองของเอเชีย นับตั้งแต่เมืองศูนย์กลางขนาดปานกลางไปจนถึงเมืองขนาดใหญ่ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองเหล่านี้ นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการสำหรับพื้นที่สำนักงาน/สถานประกอบการ และเงินทุนไหลเวียนในภูมิภาค คาดว่าหลายๆ เมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านสาธารณูปโภคอันเกี่ยวเนื่องกับยุทธศาสตร์ของจีนที่เรียกว่า 'ความริเริ่มแถบเศรษฐกิจและเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI)' ซึ่งจะช่วยสร้างงานและหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกัน คาดว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ของจีนจะเปลี่ยนวิถีชีวิตการอยู่อาศัยและการทำงานของผู้คนในเมืองเหล่านี้
รายงาน 'China12: China's Cities Go Global' สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่
http://www.joneslanglasalle.com.cn/china/en-gb/china12-china-cities-report