กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการประกอบธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์สเตนเลสม้วนอย่างครบวงจร รับผลดีจากธุรกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นในศักยภาพและความเป็นมืออาชีพของบริษัท เตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว
นายประสาน อัครพงศ์พิศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนในโอกาสแถลงข่าวเกี่ยวกับแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด(มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินว่า บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2532 ด้วยทุนจดทะเบียน และทุนเรียกชำระแล้ว 20 ล้านบาท ในนามบริษัท ศูนย์บริการเหล็กโลหะกิจ จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์สเตนเลส ผู้ถือหุ้นใหญ่เมื่อเริ่มก่อตั้ง คือ กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ โดยมีบริษัทย่อยประกอบด้วย บริษัท ออโต้ เม็ททอล จำกัด และบริษัท ดี-สเตนเลส จำกัด ประกอบธุรกิจหลักด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์สเตนเลสม้วนอย่างครบวงจร โดยการนำระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) มาใช้ในการจัดหาวัตถุดิบ การแปรรูป การจำหน่าย และการให้บริการแก่ลูกค้า การดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย ได้แก่
— จัดหา แปรรูป และจำหน่าย สเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น
— ผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลสขัดเงา สำหรับอุตสาหกรรมตกแต่งและโครงสร้าง
— ผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลสสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อใช้ในการผลิตท่อไอเสียรถยนต์ และท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ (โดยบริษัท ออโต้ เม็ททอล จำกัด)
— จำหน่ายสเตนเลสเกรดเฉพาะ หรือ “D-Stainless” (โดยบริษัท ดี-สเตนเลส จำกัด)
— แปรรูปและจำหน่ายเหล็กชุบสังกะสี และเหล็กเคลือบสังกะสี
— ให้บริการด้านขัดผิวสเตนเลสม้วนเป็นผิวลายเส้น (Hairline) ลายขนแมว (No.4)
— ให้บริการด้านการตัด เจาะ และพับสเตนเลส ตามความต้องการของลูกค้า
— ให้บริการในการบริหาร ระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยระบบ “iSerlution” ของบริษัท
โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถนำไปใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง คอมพิวเตอร์ อาหาร ปิโตรเคมี โดยมีจุดแข็งอยู่ที่ การมีฐานลูกค้าที่มั่นคง มีประสบการณ์และความรู้อย่างแท้จริง รวมถึงการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management by iSerlution) ทำหน้าที่เป็นผู้เพิ่มประสิทธิผลในอุตสาหกรรม (Synergy Plus) ผู้ประสานงานในอุตสาหกรรม (Solution Integrator) และผู้เก็บรวบรวมข้อมูลในอุตสาหกรรม (Industry Database) และมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมสเตนเลสในประเทศไทยนั้น มีการปรับตัวขึ้นในทิศทางที่สูงขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน การบริโภคสเตนเลสรีดเย็นในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากปริมาณการบริโภคสเตนเลสรีดเย็นโดยเฉลี่ยของประชากรในประเทศยังอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชีย (เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน) ซึ่งมีอัตราการบริโภคเฉลี่ยสูงกว่า 10 กิโลกรัมต่อคนต่อปี นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้แนวโน้มของอุตสาหกรรมสเตนเลสในประเทศมีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยคาดว่าภายใน 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ปริมาณความต้องการบริโภคสเตนเลสจะเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐต่าง ๆ เช่น โครงการส่วนต่อขยายระบบขนส่งระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการรถไฟรางคู่ เป็นต้น ปริมาณการบริโภคสเตนเลสในประเทศไทย มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องครัวและเครื่องใช้ ซึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมมีส่วนในการผลักดันให้อุตสาหกรรมสเตนเลสในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้นำด้านการแปรรูปสเตนเลสม้วนอย่างครบวงจรที่มีการให้บริการครอบคลุมและสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านการจัดหาผลิตภัณฑ์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์สเตนเลสโดยการตัดตามขนาดตัดเป็นแถบม้วน การขัดพื้นผิว การเจาะรูและปั๊มกลม รวมถึงการผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส และการจำหน่าย สเตนเลสเกรดเฉพาะ บริษัทมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น ด้วยการนำวิธีการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) มาใช้ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งซัพพลายเออร์ บริษัทและบริษัทย่อย และลูกค้า อันส่งผลให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีการบริหารต้นทุนและบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ และส่งผลให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ในด้านได้รับมอบสินค้าตรงตามกำหนดเวลา และไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าไว้ในปริมาณที่เกินความต้องการ ซึ่งช่วยลดต้นทุนของลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทจึงได้เตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน สำหรับการขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม บริษัทฯ ได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้ดูแลและให้คำแนะนำในการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน เพื่อกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 240 ล้านบาท โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ไปใช้เพื่อก่อสร้างอาคาร จัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ใช้คืนเงินกู้ยืมบางส่วน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท เพื่อการขยายธุรกิจต่อไป
นายพินิจ พัวพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำและเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสเตนเลสหรือเหล็ก กล้าไร้สนิมมากว่า 18 ปี ทำให้บริษัทมีความเข้าใจในความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละราย เช่น ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องการผลิตภัณฑ์ท่อสเตนเลสที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ลูกค้าในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ในครัวเรือนต้องการผลิตภัณฑ์ สเตนเลสที่มีการขัดเงาและเคลือบผิว บริษัทจึงมุ่งเป็นผู้จัดหา แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและนำสินค้าเข้าสู่ระบบการบริหารจัดการคลังสินค้าเพื่อจัดส่งให้แก่ลูกค้าตามวันเวลาที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งเป็นไปตามแผนการใช้งานของลูกค้า การให้บริการของบริษัทจึงเป็นการขจัดความเสี่ยงของลูกค้าในการจัดหาสินค้าได้ไม่ครบถ้วนตามปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งเป็นการประหยัดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้าของลูกค้าด้วย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการติดตามผลการจัดส่งและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอีกด้วย ส่งผลดีต่อยอดขายโดยรวมของบริษัทฯ ทั้งนี้ ศักยภาพในการเติบโตของบริษัทเป็นผลมาจากผู้บริหารมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการดำเนินงาน มีสัมพันธภาพที่ดีกับพันธมิตรทางธุรกิจมีนโยบายที่เน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มั่นคง เชื่อมั่นว่า โลหะกิจ จะเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจของนักลงทุน และคาดการณ์ว่า จะสามารถเข้าตลาดได้ภายในปลายปีนี้
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์
จิดาภา ประมวลทรัพย์, อลิสา ตั้งสดเจริญดี, ธนกร นพกิจกำจร
บริษัท สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด
โทร. 0-2693-7835-8 ต่อ 32, 29, 30, 08-1817-7153, 08-6690-6989
โทรสาร 0-2693-6920