กรุงเทพฯ--25 เม.ย.--เมืองไทยประกันชีวิต
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพอย่างครบวงจร ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง พร้อมต่อยอดโปรแกรม "Healthy is a Trend" อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในมิติของการคุ้มครอง ป้องกัน และการสร้างความมั่นคงให้ชีวิต (Protection) ทาง Fuchsia Innovation Centre ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ "เบาหวานเบทเทอร์แคร์ (Bao Wan BetterCare)" ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก พร้อมจับมือพันธมิตรด้านสุขภาพตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วน และนับเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่เกิดขึ้นในธุรกิจประกันชีวิต ภายใต้ Insurance Regulatory Sandbox ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาระบบประกันภัยในประเทศไทยให้พัฒนาและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
"ในปัจจุบันประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่สามารถรับคุ้มครองผู้ที่เกิดอาการเจ็บป่วยแล้วเนื่องจากความเสี่ยงที่สูงเกินไป แต่ผู้ป่วยเหล่านี้มีความต้องการความคุ้มครองเพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น เมืองไทยประกันชีวิตเล็งเห็นความต้องการของคนจำนวนมากนี้ ประกอบกับเทคโนโลยีในด้าน Healthcare ที่พัฒนาขึ้นมากมายสามารถช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรคให้มีความสามารถในการดูแลตนเอง ติดตามผล และในหลายๆ โรคสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นได้" นายสาระ กล่าว
ทั้งนี้ "เบาหวานเบทเทอร์แคร์" เป็นแบบประกันภัยสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยเฉพาะ ขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ www.mtlBetterCare.com โดยความคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีเจ็บป่วยและเสียชีวิต มีจุดเด่นอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย 1.การให้สิทธิผู้เอาประกันภัยสามารถควบคุมค่าเบี้ยของตนเองได้ โดยจะใช้ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ของตนเองเป็นตัวตั้ง กล่าวคือหากระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ของผู้เอาประกันภัยลดลง เบี้ยประกันก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่วนลดที่ได้รับสามารถลงได้มากกว่า 40% โดยที่ความคุ้มครองคงเดิม การปรับเบี้ยนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 6 เดือนเมื่อผู้เอาประกันภัยส่งผลระดับน้ำตาลสะสมในเลือด HbA1C ใหม่ผ่านช่องทาง Online และสามารถทราบและชำระเบี้ยในอัตราใหม่ได้ทันที
2. ผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวานทั้งระยะแรก (กลุ่มที่ 2) และระยะรุนแรง (กลุ่มที่ 1) รวมถึงยังได้สิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) จากการเจ็บป่วยทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานก็ได้ และการเปลี่ยนถ่ายไตและการฟอกไตจากโรคเบาหวาน และ 3. ผู้เอาประกันภัยยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนมือถือที่ถูกพัฒนามาเพื่อการดูแลและช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เป็นโรคเบาหวาน โดยผู้ใช้งานสามารถติดต่อ (Chat) กับนักโภชนาการได้ ไม่จำกัดครั้ง สามารถสอบถามเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องทั้งการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายตลอดระยะเวลาเอาประกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเกณฑ์ของผู้ที่เอาประกัน คือต้องเป็น ผู้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 มาไม่เกิน 15 ปี มีอายุระหว่าง 21-70 ปี มีระดับนำตาลสะสมหรือ HbA1c ไม่เกิน 10 ไม่ใช้อินซูลิน (Insulin) และไม่เคยมีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานมาก่อน โดยที่ระยะเวลาเอาประกันภัย 2 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 2 ปี โดยชำระเบี้ยประกันภัยราย 6 เดือน และเบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้บางส่วนตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรอีกด้วย
นอกจากนี้เพื่อการตอบโจทย์และการเชื่อมต่อ Ecosystem Partner ที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ยังได้ผนึกกับพันธมิตร ด้านสุขภาพ ด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้ง Tech และ Non Tech ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ (ซอยศูนย์วิจัย) โรงพยาบาลเทพธารินทร์ และโรงพยาบาลเวชธานี ที่จะมีการจัดสัมมนาและกิจกรรมให้ความรู้ต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน รวมถึงบริษัท Prenetics ที่มาช่วยพัฒนา "MTL BetterCare" ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการนักโภชนาการเพื่อรับคำปรึกษาด้านการทานอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม และบริษัท Roche Diagnostics (Thailand) ที่จะมอบชุดเครื่องตรวจน้ำตาล Accu-Chek ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดผลได้เองที่บ้าน เพื่อนำไปใช้ประกอบคำแนะนำจากนักโภชนาการให้แก่ผู้ที่ เข้าร่วมโครงการ รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท Swiss Re ในการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์
" การเปิดตัวเบาหวานเบทเทอร์แคร์ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการที่บริษัทฯ จะนำความรู้และข้อมูลด้านสุขภาพ ส่วนบุคคลเพื่อนำมาคำนวณความเสี่ยงของผู้บริโภคและตั้งราคาให้เหมาะสมมากขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นในการให้ องค์ความรู้เพื่อหารูปแบบการรักษาและป้องกันในโรคอื่นๆ ที่ประกันจะสามารถเข้าช่วยเหลือให้ความคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างพันธมิตรกับผู้นำด้านสุขภาพในสาขาต่างๆ เพื่อร่วมกันตอบโจทย์ การดูแลสุขภาพของลูกค้าให้ดีขึ้น" นายสาระ กล่าว