กรุงเทพฯ--27 เม.ย.--กรมส่งเสริมสหกรณ์
กรมส่งเสริมสหกรณ์เปิดเผยถึงผลการแก้ไขข้อบกพร่องตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ในขณะนั้น กรมฯ ได้ตรวจสอบพบว่า สหกรณ์ทั้ง 7 ประเภทมีข้อบกพร่อง จำนวน 1,228 แห่ง และหากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่าถึง 43,566 ล้านบาท โดยแบ่งข้อพร่องออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่
1. การทุจริต หมายถึง การกระทำการที่แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และทำให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์ หรือสมาชิก หรือบุคคลภายนอก
2. ข้อบกพร่องด้านบัญชี เช่น การทำบัญชีไม่เป็นปัจจุบัน
3. ข้อบกพร่องด้านการเงิน เช่น การเก็บรักษาเงินสด การรับจ่ายเงินไม่เป็นไปตามระเบียบ
4. ดำเนินการนอกกรอบวัตถุประสงค์ ซึ่งสหกรณ์มีการกระทำที่ไม่ได้ระบุตามข้อบังคับของสหกรณ์
5. พฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หมายถึง พฤติกรรมหรือกระทำการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสหกรณ์เป็นมูลค่าสูง หรือกระทบเป็นวงกว้าง หรือเป็นพฤติกรรมของกรรมการ เจ้าหน้าที่ ผู้ที่เกี่ยวข้อง สหกรณ์หรือผู้ที่แอบอ้างแล้วทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าสหกรณ์มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การนำเงินไปฝากสหกรณ์อื่นที่มีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ ข้อบกพร่องทางบัญชี ด้านการเงิน การดำเนินการนอกกรอบวัตถุประสงค์และพฤติกรรมที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย ยังเป็นข้อบกพร่องที่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งจากการที่กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำแนะนำและดูแลการแก้ไขข้อบกพร่องของสหกรณ์อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ปัญหาข้อบกพร่องของสหกรณ์ทุกประเภทในขณะนี้ลดลงเหลือเพียง 204 แห่ง อาจก่อให้ความเสียหายได้ 9,600 ล้านบาท จึงยังคงมีการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด ส่วนข้อบกพร่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว จะเป็นข้อบกพร่องที่เกิดจากการทุจริต ปัจจุบันคงเหลือมูลค่าความเสียหาย 646.33 ล้านบาท ในสหกรณ์ 33 แห่ง จาก 204 แห่ง ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.46 ของสหกรณ์ทั้งหมดที่ยังดำเนินธุรกิจ
จากการประเมินผลการดำเนินงานของสหกรณ์ทั่วประเทศในภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ดี ซึ่งกรมฯ กำกับดูแลการดำเนินงานของสหกรณ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาและการป้องกันความเสี่ยงจากการดำเนินงานของสหกรณ์