กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--สถาบันยานยนต์
Mr. Yoji Ueda รองผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI of Japan) และนายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการสถาบันยานยนต์ ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) เรื่อง "การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่" ระหว่าง องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กับ สถาบันยานยนต์ ณ ห้องคริสตัล 1-2 ชั้น 3 โรงแรม เซ็นจูรี่ พาร์ค โดย Mr. Hiroki Mitsumata ประธาน องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) และ นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน กรรมการสถาบันยานยนต์ ผู้ทำการแทนผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เป็นผู้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าว
ซึ่งวัตถุประสงค์ และขอบเขต ของความร่วมมือระหว่างองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กับ สถาบันยานยนต์ มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของทั้งสองประเทศ ประกอบด้วย ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ยานยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) และยานยนต์แห่งอนาคต
ทั้งนี้จะเน้นการประสานความร่วมมือด้านการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับยานยนต์สมัยใหม่ การพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และการทดสอบ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน รวมถึงการพัฒนาด้านต่างๆ ของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกปี ความร่วมมือภายใต้หนังสือเจตจำนงฉบับนี้ มีระยะเวลา 3 ปี โดยมีขอบเขตความร่วมมือ
1. การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ระบบความปลอดภัย การจัดการแบตเตอรี่ รวมถึงระบบการประจุไฟฟ้า การทดสอบและพลังงาน
2. แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
3. การพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อก้าวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
โดยสถาบันยานยนต์หวังว่า การลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงครั้งนี้ จะเป็นส่วนช่วยชี้นำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สามารถปรับตัวและต่อยอดผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และช่วยให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของภูมิภาคได้ และสามารถนำข้อมูลสนับสนุนเสนอแก่หน่วยงานภาครัฐในการออกกฎระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อรองรับการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศ ทั้งนี้เพื่อประชาชนจะมีได้โอกาสใช้ยานยนต์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย การลงนามในครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นก้าวสำคัญ ในการแสดงศักยภาพร่วมกัน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของทั้งสองประเทศ ให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต