กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--
สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยสารพิษต่างๆมากมาย ทั้งยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในอาหาร สารระเหยจากสีทาบ้านและสารปนเปื้อนในน้ำดื่ม โดยที่ในแต่ละปี มีสารพิษเพิ่มมากขึ้นถึง 300,000 ชนิดเลยทีเดียว
คุณหมอคณิน ไตรพิพิธสิริวัฒน์ แพทย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูแห่งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวว่า ระดับสารพิษและประเภทสองสารพิษที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปตอนนี้อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ผลิตภัณฑ์หลายๆอย่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ ปนเปื้อนสารพิษที่ละลายน้ำมัน (lipophilic xenobiotic) ซึ่งทำให้สารพิษทั้งหลายสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายของเรา"
"ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะสามารถกำจัดสารพิษได้เอง แต่ก็ไม่สามารถจะต่อสู้ได้กับปริมาณและความซับซ้อนของสารพิษในทุกวันนี้ได้ซะทีเดียว สารพิษเหล่านี้เป็นสารที่ละลายได้ในไขมัน ทำให้ตกค้างอยู่ในผิวของผักและผลไม้ที่เรารับประทานเข้าไป ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะร่างกายเรากำลังถูกจู่โจมจากสารพิษรอบตัวอย่างมากมายที่สามารถมีผลต่อชีวภาพของเรา"
ตัวอย่างเช่น ยาฆ่าแมลง หรือ โลหะหนักทั้งหลาย เป็นตัวการสำคัญที่ไปรบกวนระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ และวัฒนาการของทารกทั้งในขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด
ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะกำจัดสารพิษต่างๆได้เองเป็นส่วนใหญ่ การที่ร่างกายต้องเผชิญกับสารพิษเป็นเวลานานและต่อเนื่องกันก็สามารถจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนเกิดโรคร้ายได้ เช่น โรคมะเร็ง และยังก่อให้เกิดโรคต่างๆอันเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ภูมิแพ้ ผื่นตามผิวหนัง หอบหืด และอาการอักเสบต่างๆ
คุณหมอคณิน ได้กล่าวอีกว่า การที่จะหลีกเลี่ยงสารพิษรอบตัวเราอย่างสิ้นเชิงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็สามารถจะระวังและหลีกเลี่ยงได้อย่างมากที่สุด เช่น
- ล้างผักและผลไม้อย่างละเอียด พยายามซื้อผักและผลไม้ออร์แกนิค
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่ามีส่วนผสมของน้ำหอม
- งดสูบบุหรี่
- ปลูกต้นไม้ในบ้านเพื่ออากาศบริสุทธิ์
หากคุณกำลังกังวลเรื่องสารพิษตกค้างในร่างกาย คุณหมอคณินแนะนำว่าให้ตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อตรวจหาสารพิษตกค้างในร่างกาย โดยที่สารพิษตกค้างเหล่านี้ สามารถกำจัดออกไปได้โดยหลากหลายวิธี รวมถึงการขับสารพิษ โดยที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วิตามินที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เราทุกคนต่างมีคนรอบข้างที่ชอบรับประทานวิตามินเสริม และมักจะชักชวนให้เราทานวิตามินเป็นอาหารเสริมด้วยโดยเชื่อว่า วิตามินจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและทำให้ร่างกายเราแข็งแรงพร้อมสู้กับโรคภัยต่างๆตลอดเวลา
ในความเป็นจริงแล้ว ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราถูกสร้างและสะสมมาเป็นเวลานาน การรับประทานวิตามินเป็นอาหารเสริมที่มากเกินไปในระยะเวลาสั้นไม่ได้ส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในทางตรงกันข้าม หากรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้มากไป จะส่งผลตรงกันข้าม
คุณหมอคณิณ ชี้แจงว่า "เราควรทำความเข้าใจกันก่อนว่าการรับประทานอาหารวิตามินอาหารเสริมนั้น เป็นแค่ตัวช่วยในการมีสุขภาพที่ดี ไม่ใช่จะนำมาทดแทนวิถีชีวิตประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดีได้ คนที่มีอาการเจ็บป่วยตลอดเวลาเช่นเป็นหวัดง่าย ควรพบแพทย์มากกว่าการรับประทานวิตามินอาหารเสริมจำนวนมาก"
แต่ก็มีวิตามินอาหารเสริมบางอย่างที่สามารถช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เราต่อสู้กับโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Glutamine เป็น non-essential amino acid ซึ่งช่วยรักษาสมดุลในผนังระบบทางเดินอาหารและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยทั่วไป Glutamine จะลดลงเมื่อเราออกกำลังทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอไปด้วย ฉะนั้นการรับประทานเป็นอาหารเสริมจะช่วยให้เรามี ในระดับคงที่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไปในเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งสามารถนำ Glutamine ไปใช้เป็นพลังงานได้
วิตามินซี เป็นสารอาหารอีกตัวหนึ่งที่มีการวิจัยต่างๆออกมาสรุปแล้วว่ามีผลต่อการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพอีกตัวหนึ่งเลยทีเดียว โดยวิตามินซีจะไปช่วยกระตุ้น neutrophils และ lymphocytes ให้ทำงานซึ่งทั้งสองตัวนี้จัดว่าเป็นกองหน้าในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเลยทีเดียว
วิตตามินเอ นอกจากจะช่วยให้ผนังของเซลล์ในร่างกายมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อในร่างกายอีกด้วย โดยที่มีงานวิจัยค้นพบว่าถ้าร่างกายขาดวิตามินเอทำให้ติดเชื้อผ่านทางระบบทางเดินหายใจได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นหากเราอยู่ในที่ๆอากาศแห้งเช่นห้องแอร์ ก็จะทำให้แบคทีเรีย หรือไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
สังกะสี มีหน้าที่สำคัญต่อระบบต่างๆในร่างกายถึง 300 อย่างทีเดียวรวมถึง ระบบภูมิคุ้มกันด้วย โดยที่สังกะสีเปรียบเสมือนน้ำมันขับเคลื่อนตัวสำคัญในต่อมไธมัส ที่เป็นตัวผลิต T-lymphocyte ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดเลือดขาวไว้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเราต่อไป
นอกเหนือจากวิตามินอาหารเสริมที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว น้ำผึ้ง ขิง และพริก ก็เป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ที่ช่วยต่อสู้กับโรคหวัดต่างๆได้อีกด้วย โดยที่น้ำผึ้งเป็นสารต่อสู้กับแบคทีเรียตามธรรมชาติ ขิงและพริกช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดี
คุณหมอคณินยังกล่าวอีกว่า นอกจากสารอาหารที่สำคัญแล้วการดื่มน้ำก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย โดยที่ความชุ่มชื้นช่วยให้เซลล์มีสุขภาพที่ดีและทำงานเป็นปกติในการต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส โดยเฉพาะนักกีฬาและคนทำงานในออฟฟิสที่มักจะประสบกับภาวะร่างกายขาดน้ำเป็นประจำ
ออกกำลังเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
ประโยชน์ของการออกกำลังนั้นเป็นที่รู้กันอยู่กว้างขวาง เช่นคนที่ออกกำลังนั้นจะมีระบบหัวใจและหลอดเลือดที่แข็งแรง กล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง และระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
แต่การออกกำลังก็ควรทำอย่างพอเหมาะพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป การออกกำลังที่มากเกินไปจะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า มีอาการบาดเจ็บและเสี่ยงต่อการเป็นหวัดได้ง่าย นายแพทย์คณิน แพทย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูแห่งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวไว้ว่า การออกกำลังกายถือเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพที่ดี ซึ่งเพื่อการส่งเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการพักผ่อนที่เพียงพอ และการรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบตามที่ร่างกายเราต้องการ "สูตรสำเร็จของการส่งเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นไม่ยาก แต่ต้องมีวินัยในตัวเอง"
นักวิจัยได้ให้ความเห็นว่า การออกกำลังนั้นถือเป็นดาบสองคมเมื่อกล่าวถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยที่การออกกำลังกายที่ถูกวิธีครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนความรุนแรงและระยะเวลาในการออกกำลังนั้นๆ การออกกำลังจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบทางเดินหายในและลดการติดเชื้อหวัดต่างๆ แต่ถ้าหากออกกำลังหนักเกินไปหรือออกกำลังเพียงประเภทเดียว จะมีผลให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยที่คุณหมอคณินได้กล่าวว่า การออกกำลังกายเพียงประเภทเดียวตลอดไปก็เหมือนกับการรับประทานแครอทอย่างเดียว "ถึงแม้ว่าแครอทจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การรับประทานแครอทอย่างเดียวนั้นก็ทำให้ร่างกายเราได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ ร่างกายเราต้องการสมดุลในทุกๆอย่าง"
นักวิจัยได้พบกว่า การออกกำลังโดยวิธี แอโรบิคโดยอย่างเดียวเช่นวิ่งมาราธอน ไตรกีฬา มีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าการออกกำลังโดยการหายใจลึกๆเช่น โยคะ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราไม่แตกต่างกับกล้ามเนื้อเท่าไหร่ ต้องการการพักผ่อน น้ำและสารอาหาร เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าการวิจัยจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดในเรื่องนี้ แต่การออกกำลังหนักๆ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเซลล์และทำให้การต่อสู้ต่อสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเป็นไปอย่างไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งออกกำลังกายหนักๆนานแค่ไหน ร่างกายยิ่งต้องใช้เวลาในการปรับกลับสู่สมดุลนานแค่นั้น
โดยทั่วไปในทางการแพทย์จะยึดหลัก 30 นาทีของการออกกำลังปานกลาง จะช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และลดระยะเวลาการปรับกลับสู่สมดุลของร่างกาย คุณหมอคณินได้เตือนว่า สำหรับคนที่กำลังป่วยเป็นโรคหวัดคัดจมูกเล็กน้อย ควรออกกำลังกายเบาๆ แต่สำหรับคนที่รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนตัวเองกำลังจะป่วย ควรงดการออกกำลังกายจนกว่าจะหาย
คุณหมอคณินยังแนะนำอีกว่า สำหรับคนที่ต้องการศึกษาถึงกระบวนการป้องกันและฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผน lifestyle และปรับสมดุลส่วนบุคคลให้ได้ผลในระยะยาว
ติดต่อสอบถาม หรือติดตามข้อมูลสุขภาพ ได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ในเครือรพ.บำรุงราษฎร์ https://www.vitallifeintegratedhealth.com โทร: 66(0)2066 8899
เกี่ยวกับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (Vitallife Wellness Center) ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพระดับสากล ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ดำเนินงานตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการอบรมจากอเมริกันบอร์ด ภายใต้แนวคิดการดูแลสุขภาพแห่งอนาคต อันประกอบด้วยเวชศาสตร์คาดการณ์และป้องกันโรคเวชศาสตร์การฟื้นฟูสุขภาพและพลังชีวิต ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับการรับรองจาก World Council for Clinical Accreditation เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 และเป็นศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแห่งแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากดีเอ็นวี. จีแอล เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลเพื่อผู้ป่วยนอกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกในเรื่องมาตรฐานคุณภาพระดับสากล มีความโดดเด่นในด้านการพัฒนาและบริหารความเสี่ยงที่ถอดแบบมาจากธุรกิจเฮลแคร์และธุรกิจอื่นๆที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก และได้รับการยอมรับจากสถานพยาบาลและโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา