กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--IR PLUS
บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลรายใหญ่ของประเทศยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้น IPO 1.37 พันล้านหุ้น นำเงินระดมทุนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระคืนเงินกู้ยืม รวมทั้งลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากกากหมัก และหญ้าเนเปียร์ หวังขยายธุรกิจ ลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และธนาคารทหารไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) (UBE) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน ไม่เกิน 1,370,000,000 หุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 1,174,286,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ เอทานอล จำกัด (บริษัทลูกของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)) จำนวนไม่เกิน 97,857,000 หุ้น และบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) กับ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL)) จำนวนไม่เกิน 97,857,000 หุ้น รวมเป็นหุ้นที่เสนอขายไม่เกินร้อยละ 35 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลัง IPO โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งภายหลังการเสนอขาย IPO ครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวนไม่เกิน 3,914,286,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,914,286,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน, ชำระคืนเงินกู้ยืม รวมทั้งลงทุนในโครงการผลิตก๊าซชีวภาพ โครงการผลิตไฟฟ้าจากการหมักและหญ้าเนเปียร์ (โครงการ RAPTOR หรือ Rapid Transformation Organic Residues) เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นคงในระยะยาว และเพิ่มความสามารถในการลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของ UBE แบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง และธุรกิจผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า โดยบริษัทฯ ถือเป็นผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และเป็นผู้ผลิตเอทานอลโดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตรายใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ ผลพลอยได้ที่ได้จากการกระบวนการผลิต ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โรงงานผลิตเอทานอลของบริษัทฯ มีกำลังการผลิต 400,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งถือเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตต่อ 1 สายการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยบริษัทฯ ผลิตเอทานอลเกรดเชื้อเพลิงซึ่งมีความบริสุทธิ์ 99.5% เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้แก่ BCP TOP PTT Shell และ ESSO เป็นต้น ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลรายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้เอทานอลทั้งหมดของประเทศ
อีกทั้ง บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังทั้งเกรดอาหารและเกรดอุตสาหกรรม ภายใต้ เครื่องหมายการค้า "Sunflower" และ "ซันฟลาวเวอร์" มีกำลังการผลิต 700 ตันต่อวัน และได้รับการรับรองคุณภาพจากสถาบันชั้นนำต่างๆ ทัดเทียมกับผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังรายใหญ่ในอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บริษัทฯ นำผลพลอยได้ที่ได้จากกระบวนการผลิตมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนำน้ำใช้และกากมันสำปะหลังที่ได้จากกระบวนการผลิตเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังมาใช้ในการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนภายในโรงงานได้ประมาณ 200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้ภายในกลุ่มบริษัท และจำหน่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อยู่ที่ 7.5 เมกะวัตต์
สำหรับรายได้จากการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง และผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า ในปี 2558-2560 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 3,674.34 ล้านบาท 3,550.19 ล้านบาท และ 4,689.33 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 12.97 ต่อปี มีกำไรสุทธิเท่ากับ 56.07 ล้านบาท 103.32 ล้านบาท และ 308.18 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 1.52 ร้อยละ 2.91 และร้อยละ 6.52 ตามลำดับ โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล เป็นรายได้หลัก มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 – 80 ของรายได้ทั้งหมด