กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--
SGP ลั่นผลงานปี 61 มั่นใจยอดขายปีนี้โตเกิน 10% ทะลุ 3.5 ล้านตัน พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย รองรับดีมานด์ในตลาดที่มีอยู่มหาศาลตามแผน ขณะที่ยอดขายไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นกว่า 11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก (CP Saudi Aramco) ในไตรมาสที่ 1/2561 ปรับตัวลดลงกว่า 107.50 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอดขายก๊าซ LPG ของบริษัทเติบโตขึ้นกว่า 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมักจะลดลง ในไตรมาสที่ 1 เนื่องจากปริมาณความต้องการจะลดลงภายหลังจากความต้องการก๊าซเพื่อให้ความอบอุ่น (heating) ลดลงหลังจากหมดฤดูหนาว ประกอบกับประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีวันหยุดยาวในช่วงตรุษจีน (เดือนกุมภาพันธ์ ) ทำให้ชะลอการซื้อก๊าซ LPG ในช่วงดังกล่าว อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคา CP Saudi Aramco ในไตรมาสที่ 2/2561 มีการปรับตัวในทิศทางขาขึ้น
"แม้ว่าราคา CP Saudi Aramco จะลดลงในไตรมาสที่ 1/2561 และมีผลกระทบต่อกำไรในไตรมาสที่ 1/2561 ของบริษัท แต่การขึ้นลงของราคาก๊าซในตลาดโลกเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมักจะขึ้นลงตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม หากมองถึงยอดขายของบริษัทแล้ว บริษัทสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 11 % ประกอบกับแนวโน้มราคา CP Saudi Aramco ก็มีทิศทางขาขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 ซึ่งตนมองว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ส่วนราคา CP Saudi Aramco มองว่าเป็นทิศทางขาขึ้นภายหลังความต้องการก๊าซ LPG ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้บริษัทพยายามเพิ่มยอดขายไปสู่ผู้บริโภค (retail) มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯมีส่วนต่างกำไร (profit margin) มากขึ้นและช่วยรองรับ (absorb) ให้กำไรของบริษัทได้รับผลกระทบน้อยลงในช่วงที่ราคาก๊าซLPG ปรับตัวลง"นายศุภชัยกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ เตรียมขยายตลาดเข้าสู่ประเทศจีนตอนเหนือ เพื่อขยายตลาดตามความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จากปัจจุบันที่เป็นผู้นำตลาดในจีนตอนใต้ โดยเป็นผู้นำเข้า LPG ติดอันดับหนึ่งในสาม ในประเทศจีน และมีคลังเก็บก๊าซใต้ดินขนาดใหญ่สองแห่งในจีน อยู่ที่เมืองซัวเถา และเมืองจูไห่ รวมปริมาณความจุกว่า 300,000 ตัน
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดและความเป็นไปได้ใน การขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะได้ประโยชน์ในเรื่องของการเพิ่มสินค้าและกลุ่มลูกค้าของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทฯวางเป้าหมายยอดขาย LPG ในปี 2561 เติบโต 10% หรือประมาณ 3.5 ล้านตัน เทียบปีที่ผ่านมียอดขายกว่า 3.2 ล้านตัน และรายได้รวมในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท อีกทั้งตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท
ส่วนยอดขายในไตรมาส 1/61 บริษัทฯมียอดขาย LPG จำนวน 0.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนยอดขายอยู่ที่ 0.71 ล้านตัน
อนึ่ง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 บริษัทฯและบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเป็นผู้จัดหาและจัดส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas–LNG) เพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าในประเทศไทย ตามแผนสำรองพลังงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
และในวันที่ 9 เมษายน 2561 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานดีเซลในเมียนมา ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับสหกรณ์หมู่บ้านโดยตรงขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ ได้ทดลองจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการขายไฟประมาณ 340 ล้านบาท/ปี
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท โดยจ่ายจากกำไรสะสมและผลประกอบการ และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,378.40 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวเป็นการจ่ายจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) เดิม 1.00 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังอนุมัติเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของบริษัทฯจากเดิมมูลค่าหุ้นละ 1 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท พร้อมแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทข้อ 4 เป็น ทุนจดทะเบียนจำนวน 918,931,500 บาท แบ่งออกเป็น 1,837,863,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท