กรุงเทพฯ--10 พ.ค.--ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์)
"ซุปเปอร์ ริช ไทยแลนด์" (สีเขียว) ยืนยันวิสัยทัศน์เป็นผู้นำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ เน้นจุดแข็ง"Thailand Best Rate" พร้อมปรับปรุงขนาดสาขารองรับการท่องเที่ยวโต หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%
คุณแพม - สิตามนินท์ สุสมาวัตนะกุล กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา "ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์" มีรายได้อยู่ที่ 112,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นน 43% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผลจากการท่องเที่ยวและการพัฒนาระบบการจัดการภายใน ให้สามารถบริการลูกค้าได้ตรงใจ และมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน "ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์" มีทั้งหมด 12 สาขา ปีนี้มีแผนการปรับเปลี่ยนขยายพื้นที่สาขาเดิม เพื่อเพิ่มจำนวนเคาน์เตอร์ให้บริการ สำหรับ สาขาเอ็มโพเรี่ยม, เซ็นทรัล พระรามเก้า และสุวรรณภูมิ และมีแผนเปิดอีก 1 สาขาใหม่ภายในปี 2561
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ "ซุปเปอร์ริช ไทยแลนด์" 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง มีการแลกเฉลี่ย 20,000–30,000 บาทต่อครั้ง สกุลเงินที่นิยมแลกได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 25% รองลงมาเป็นเงินเยน 20% และยูโร 10% ปัจจุบันมีสกุลเงินที่ให้แลกทั้งหมด 34 สกุล มีเงินหมุนเวียนเฉลี่ยกว่า 300 ล้านบาท ต่อวัน โดยสกุลเงินในฝั่งเอเชีย เช่น บรูไน เวียดนาม พม่า ได้รับความนิยมมากขึ้น ผลพวงจากทั้งการท่องเที่ยว
คุณเจน – ธณัทร์ษริน สุสมาวัตนะกุล กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาองค์กร บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงไป มีการเช็คอัตราแลกเปลี่ยน วางแผนก่อนเดินทาง ถ้าเห็นเรทที่พอใจก็จะแลกไว้ก่อน ดังนั้น "ซุปเปอร์ริช สีเขียว" จึงได้เพิ่มเทคโนโลยีพัฒนาระบบ call center 02-254-4444 และเพิ่มช่องทางในการติดต่อ ทั้งไลน์ @SuperrichTH และ facebook : SuperrichTH เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการสอบถามข้อมูล รวมถึงสั่งจองเงินล่วงหน้า
ทั้งนี้ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 660,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 54% โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมาก มาจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐ รวมถึงธุรกิจการบินที่กระตุ้นให้คนเดินทางมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศมีมากกว่า 2,000 ราย กว่า 50% อยู่ในภาคใต้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ส่วนอีก40% อยู่ ในภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพ และอีก 10% กระจายไปยังจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ คุณสิตามนินท์ กล่าวปิดท้าย