กรุงเทพฯ--10 พ.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
วันนี้ (๑๐ พฤษภาคม 256๑) นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดการสัมมนา "มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร" ณ ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร เพื่อชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการ บุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และแนวทางในการบริหารจัดเก็บภาษีอากร รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถูกต้องและภายในกำหนดเวลา
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า "ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลงบการเงินที่นำส่งกรมสรรพากรเป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำ งบการเงินของรอบระยะเวลาบัญชี 2560 ให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อรองรับการดำเนินการของสถาบันการเงิน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมชำระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งใน ปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯ ตรงกับวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชำระภาษีออกไปถึงวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 256๑ โดยผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร และได้ยื่นงบการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) ที่ Web Site ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th ภายในกำหนดเวลาและมีบุคคลตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ตรวจสอบและรับรองงบการเงินดังกล่าว ถือว่าได้ยื่นงบการเงินต่อกรมสรรพากรแล้ว"
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการบูรณาการข้อมูล 3 กรมภาษี และหน่วยงานอื่น เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารจัดเก็บภาษี นอกจากนี้ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ศึกษารูปแบบนวัตกรรมทางการเงินเพื่อนำมากำหนดเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เสียภาษีและประเทศไทยมากที่สุด"