กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--IR PLUS
ITEL อวดผลงาน Q1/2561 กำไรสุทธิโต 68.74% อยู่ที่ 31.09 ลบ. ส่วนรายได้รวมโต 94.89% อยู่ที่ 366.19 ลบ. เป็นผลจากรายได้หลักจากงานบริการโครงข่ายโตสูงถึง 26.46 % หลังจากรุกพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นครอบคลุม 75 จังหวัด นอกจากนี้ยังได้ส่วนหนุนจากธุรกิจ Data Service ได้ลูกค้าทยอยเข้าใช้งานมากขึ้นต่อเนื่อง "ณัฐนัย อนันตรัมพร" เอ็มดีหนุ่มไฟแรง มั่นใจทุกธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2561 ได้ จากปัจจุบันตุนงานในมือแล้ว 2,460 ล้านบาท สนับสนุนเป้ารายได้ทั้งปีที่วางไว้โตไม่ต่ำกว่า 40% ตามเป้าหมาย ควบคู่การให้ความสำคัญเรื่องกำไรสุทธิ
นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยถึง ผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ว่าบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 366.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.89% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 187.90 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากงานบริการโครงข่ายใยแก้วนำแสงซึ่งถือเป็นรายได้หลักเติบโตสูงขึ้น 26.46 % อยู่ที่ 148.56 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 117.48 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทฯมีการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 75 จังหวัดทั่วประเทศ และลูกค้าที่ทยอยเข้ามาใช้บริการอันเนื่องมาจากประสิทธิภาพของโครงข่ายและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของการให้บริการ เพื่อให้โครงข่ายของบริษัทฯครอบคลุมพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มเส้นทางเชื่อมต่อไปยังลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะเดียวกันโครงข่ายของบริษัทฯเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจด้วยคุณภาพของการให้บริการ จึงทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของโครงข่าย Interlink Fiber Optic ซึ่งผสมผสานระหว่างโครงข่ายหลักตามเส้นทางของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งเส้นทางหลัก เส้นทางสำรองและเส้นทางย่อยตามเส้นทางถนนผ่านเสาไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อเข้าถึงลูกค้า ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลด้วยโครงข่ายของบริษัทฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ สามารถให้บริการครอบคลุมบริการ Data Service ที่สามารถตอบสนองการส่งผ่านข้อมูลและการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากการให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสงร้อยละ 40.66 หรือมีรายได้อยู่ที่ 148.56 ล้านบาท รองลงมาเป็นการให้บริการติดตั้งโครงข่าย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.16 หรือมีรายได้อยู่ที่ 194.26 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ คิดเป็นสัดส่วน 6.18 % ของรายได้จากการให้บริการ หรือคิดเป็นรายได้จำนวน 22.57 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอัตราการเข้าใช้งานดาต้า เซ็นเตอร์แห่งแรกมีการเข้าใช้บริการเต็มพื้นที่แล้ว
"ผลงานไตรมาสแรกปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากงานภาครัฐเข้ามาเร็วกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากงานในมือ (backlog) ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการต่อสัญญากับลูกค้าหลายราย ใน Q1/61 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 31.09 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 8.49 โดยเพิ่มขึ้นจากปี 60 เนื่องจากบริษัทสามารถหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น" นายณัฐนัย กล่าว
นายณัฐนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ราว 2,460 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนเป้ารายได้ทั้งปีนี้ที่วางไว้โตอีกไม่ต่ำกว่า 40% โดยภาพรวมธุรกิจในปี 2561 และในอนาคตมองว่าธุรกิจ Data Service ของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่ดีจากความครอบคลุมของโครงข่ายถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความพึงพอใจและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทฯสามารถพิสูจน์ตนเองจากโครงข่ายที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดจนสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าได้ ทำให้บริษัทฯมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นดังนั้นรายได้จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณการใช้งานของลูกค้าเช่าวงจรซึ่งบริษัทฯเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบริษัทเอกชนทั่วไป โดยปัจจุบันได้เพิ่มทีมงานทางด้านการขายและทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อรองรับกับโอกาสทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและการใช้งานจากประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับธุรกิจ Data Center คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปี 60 เนื่องจากบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเข้ามาใช้งานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันธุรกิจ Data Center มีจำนวน 2 แห่ง โดยแห่งแรกได้สร้างเสร็จและให้บริการเต็มพื้นที่แล้ว มีรายได้ประจำเฉลี่ยปีละ 80 ล้านบาท และ Data Center แห่งที่ 2 ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว คาดหวังจะมีลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการ 60% ในสิ้นปีนี้ และคาดว่าในปี 2562 จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเต็มพื้นที่ 100% จะทำให้มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 180 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจการให้บริการพื้นที่ดาต้า เซ็นเตอร์ในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 79.56 ล้านบาท
ในส่วนของโครงการศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Net)จะทยอยรับรู้รายได้การติดตั้งทั้งหมดภายในปี 61 ซึ่งมีมูลค่าที่จะรับรู้รายได้เข้ามาอยู่ที่ประมาณ 650 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง และภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เตรียมรู้ผลประมูลโครงการศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO NET เฟส 2) มูลค่าโครงการกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งในงานดังกล่าวไม่น้อยกว่า 15 %
"คาดผลประกอบการช่วงที่เหลือของปีจะเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส สนับสนุนเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่วางไว้โตไม่ต่ำกว่า 40% หรือมีรายได้แตะ 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทฯให้ความสำคัญกับอัตรากำไรสุทธิที่ดีมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่วางไว้ อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นในงานการให้บริการโครงข่ายเพิ่มขึ้นแตะ 40% ได้ภายใน 5 ปี จากปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.50% โดยจะใช้การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น" นายณัฐนัย กล่าว