กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--
"เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี" แจงไตรมาส 1/2561 มีกำไรสุทธิ จำนวน 11.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.42% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 126.69 ล้านบาท และมีรายได้รวมเท่ากับ 305.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.02% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 275.19 ล้านบาท หลังยอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ( Smart Phone) แท็บเล็ต ของบริษัทย่อยฯ พุ่ง ซีอีโอ"ดร.อมร มีมะโน" มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้สดใส หลังเดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจ รุกนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า – โลจิสติกส์ เพื่อการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก
ดร.อมร มีมะโน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (AJA)เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/2561 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท จำนวน 11.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 138.62 ล้านบาท หรือ 109.42% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 126.69 ล้านบาท และมีรายได้รวมเท่ากับ 305.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.33 ล้านบาท หรือ 11.02% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ275.19 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุหลักของรายได้ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ( Smart Phone) แท็บเล็ท และอุปกรณ์เสริม ของบริษัทย่อย (บริษัท สยามแอดวานซ์ อีเล็คทรอนิค จำกัด) ที่เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และนโยบายการเร่งระบายสินค้าของบริษัท
ขณะที่มีต้นทุนขายเท่ากับ 200.03 ล้านบาท คิดเป็น 66.75% ของรายได้จากการขาย โดยอัตราส่วนต้นทุนขายต่อรายได้จากการขาย ลดลง 6.04% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 72.79% สาเหตุหลักจากบริษัทมีการกลับรายการตั้งสำรองมูลค่าลดลงของสินค้าคงเหลือ ประเภทสินค้ากล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล ( SET TOP BOX) และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทได้มีการจำหน่ายสินค้ากลุ่มดังกล่าวและมีการจัดงานแสดงสินค้า Expo อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งระบายสินค้าของบริษัท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AJA กล่าวอีกว่า บริษัทฯคาดว่าผลประกอบการในปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯได้กระจายความเสี่ยงจากธุรกิจหลัก โดยการขยายไลน์ไปในธุรกิจต่างๆ ดังนี้ คือเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV : Electric Vehicle)" ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัทย่อย คือ"ไรเซน เอนเนอร์จี" ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV : Electric Vehicle)" โดย AJA ถือหุ้น 45% ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการแท็กซี่ วีไอพี ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ BYD e6 จำนวน 1,000 คัน ของกรมขนส่งทางบก โดยเตรียมส่งมอบรถจำนวน 100 คัน ภายในปีนี้
นอกจากนี้ ยังขยายการลงทุนไปธุรกิจโลจิสติกส์ โดยจัดตั้ง บริษัท บีแอลทีซี อินคอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) เพื่อใช้เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่ง AJA ถือหุ้น 60.275% ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งกลุ่มบริษัท และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจหลัก