กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์
สถาบันอาหาร ชี้ตลาดอุตสาหกรรมอาหาร ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และสหพันธ-รัฐรัสเซีย มีการขยายตัวและเติบโตสูง แนวโน้มส่งออกอาหารไทยสดใส ระบุรัสเซียเป็นตลาดใหม่ของสินค้าอาหารแปรรูป ชูจุดแข็งประเทศไทยได้เปรียบคู่แข่งหลายด้าน ทั้งศักยภาพของผู้ผลิต คุณภาพ สินค้า โดยเฉพาะการที่รัสเซียมุ่งใช้ไทยเป็นฐานเข้าสู่อาเซียน เอื้อศักยภาพการทำตลาดของผู้ประกอบการไทยยิ่งขึ้น พร้อมแนะผู้ประกอบไทยเร่งปรับตัวศึกษาข้อมูลด้านการตลาดรอบด้าน ทั้งพฤติกรรม ผู้บริโภค แนวโน้มตลาดของสินค้าต่างๆ และกฎระเบียบการนำเข้า
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยถึงการจัดเสวนาเรื่อง “เปิดมุมมองใหม่ ธุรกิจอาหารในตลาด UAE และ รัสเซีย” ว่า สถาบันอาหารมีหน้าที่สร้างระบบชี้นำเสนอแนะมาตรการรองรับ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรม และตระหนักถึงความจำเป็นของการส่งออกและขยายตัวการผลิตอุตสาหกรรมอาหารไทย จึงได้จัดงานเสวนานี้ขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองในการผลิตให้สอดคล้องต่อความต้องการของผู้บริโภค การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล โดยในการเสวนาครั้งนี้จะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการขยายตลาดอุตสาหกรรมอาหารของไทยในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ รัสเซีย ทั้งในเรื่องความต้องการสินค้าและแนวโน้มสินค้าอาหารของตลาด รวมถึงช่องทางการค้าและโอกาสของสินค้าไทยในตลาดทั้ง 2 ประเทศ
“จากข้อมูลของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร พบว่าการค้าอาหารในกลุ่ม UAE มีการนำเข้ามากกว่าการส่งออก และยังคงมีแนวโน้มความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณในปี 2543-2547 โดยสินค้าอาหารประมาณ 75 - 80% ยังคงพึ่งพาการนำเข้า ส่วนใหญ่มาจากยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2549 ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารไปยัง UAE มีมูลค่าประมาณ 3,276 ล้านบาท สำหรับในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ของปี 2550 นี้การส่งออกสินค้าอาหารจากไทยไป UAE มีมูลค่าประมาณ 2,748 ล้านบาท โดยสินค้า 3 อันดับแรกที่ไทยส่งออกสูงสุดคือ น้ำตาลทรายบริสุทธิ์, ปลาทูน่าบรรจุภาชนะที่อากาศผ่านเข้าออกไม่ได้ และข้าวเจ้าขาวหอมมะลิไทย 100% ตามลำดับ
ในขณะที่ประเทศรัสเซีย เป็นตลาดที่เปิดการค้าแบบเสรี และเป็นตลาดใหม่ของสินค้าอาหารแปรรูปที่มีอนาคตสดใส เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวรัสเซีย หันมานิยมซื้อสินค้าที่สะดวกต่อการบริโภคมากขึ้น ประเภทอาหารพร้อมบริโภคที่วางขายมีตั้งแต่กลุ่มอาหารแช่เย็นแช่แข็ง อาหารพร้อมปรุงที่จัดเป็นชุด ซึ่งส่วนใหญ่จะวางขายในโมเดิร์นเทรด ต่างๆ ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งส่งผลดีกับการกระจายสินค้าเข้าไปขายในรัสเซีย โดยเน้นเรื่องของความสะอาด และบรรจุภัณฑ์อาหาร
สำหรับในภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารของรัสเซียมีการใช้วัตถุดิบนำเข้าถึง 46% ได้แก่ เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์นม, ผลไม้, ผัก, ถั่ว, น้ำตาล, ปลา และน้ำมันพืช เป็นต้น มีมูลค่านำเข้ามากกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยรัสเซียมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าอาหารจากประเทศไทยเพียง 1% สำหรับในปี 2549 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปยังรัสเซียมูลค่าราว 5,223 ล้านบาท สำหรับในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ของปี 2550 นี้การส่งออกสินค้าอาหารจากไทยไปรัสเซีย มีมูลค่าประมาณ 3,936 ล้านบาท และสินค้า 3 อันดับแรกที่ไทยส่งออกสูงสุดคือ น้ำตาลที่ได้จากอ้อย, กุ้งขาวแช่เย็นจนแข็ง และสับปะรดบรรจุภาชนะที่อากาศผ่านเข้าออกไม่ได้ ตามลำดับ” ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าว
ตลาดสินค้าอาหารของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือตลาดในประเทศมี สัดส่วนประมาณ 25-30% ที่เหลือเป็นตลาดส่งออกต่อ (Re-export) มีรัฐดูไบเป็นศูนย์กลางการค้าและกระจาย สินค้า มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี (จากมูลค่าการนำเข้า 43.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และมูลค่าการส่งออกต่อปี 2548 ประมาณ 63 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่กำลังเติบโตส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ คาดการณ์ว่าการบริโภคอาหารของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว และประชากรของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในปี 2549 สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ มีประชากรประมาณ 4.83 ล้านคน และในปี 2554 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.88 ล้านคน และที่สำคัญ รายได้ของประเทศมีการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้แนวโน้มตลาดอาหารและเครื่องดื่มของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นไปในทิศทางที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต และเป็นไปในทิศทางที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมทั้งการพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าและคุณภาพในระดับพรีเมี่ยม
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังคงพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากต่างประเทศเป็นสำคัญ เนื่องจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีปริมาณผลิตผลทางการเกษตรไม่มากนัก จะมีมากเฉพาะ อุตสาหกรรมที่รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ
ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารในรัสเซียมีอัตราการเติบโต โดยเฉลี่ยร้อยละ 15 - 20 ต่อปี มูลค่าการขายสินค้าอาหารในรัสเซีย พบว่าสินค้าอาหารทุกชนิดมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหาร, กลุ่มอาหารแปรรูปแช่เย็น, อาหารพร้อมบริโภค และอาหารเด็ก
จากตัวเลขยอดขายปลีกสินค้าอาหารในรัสเซีย พบว่าสินค้าอาหารที่มียอดขายมากที่สุด คือ อาหาร แปรรูปแช่เย็น มียอดขายถึง 348 พันล้านรูเบิล รองลงมาได้แก่ ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์ขนมหวานประเภทลูกกวาด มียอดขาย 211 และ 202 พันล้านรูเบิลตามลำดับ สำหรับสินค้าอาหารที่มีอัตราการเติบโตสูง ได้แก่ สินค้าประเภทขนมคบเคี้ยว, ของทานเล่นชนิดแท่ง และอาหารพร้อมรับประทาน
นอกจากนี้ยังพบว่า ผลิตภัณฑ์ประมงประเภท Fish snack กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากภาพลักษณ์ความเป็นอาหารเพื่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์ประมง รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค โดยราคา Fish snack ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับขนมขบเคี้ยวประเภทอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องราคาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผู้บริโภค รัสเซีย เนื่องจากผู้บริโภครัสเซียมีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพมากกว่า
นายมโนรถ กุศลศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิแม็กซ์เน็ต จำกัด เผยว่า ประเทศรัสเซียนับเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและมีทรัพยากรเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ
ดร.รมย์ ภิรมนตรี ผู้อำนวยการโครงการรัสเซียศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่าปัจจุบันการไปเปิดตลาดของนักธุรกิจไทยในรัสเซียเริ่มมากขึ้น โดยแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ใช้วิธีการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ และนักธุรกิจรายย่อยที่ใช้วิธีส่งออก ซึ่งต้องหาคู่ค้าที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นได้ ธุรกิจที่มีอนาคตสูงในรัสเซียเป็นธุรกิจบริการ โดยเฉพาะหากทำครบวงจร นวด สปา อาหาร ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมมากและไม่มีคู่แข่ง
นับว่าเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ที่ได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน มีมุมมองในการผลิตให้สอดคล้องต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล และมี ลู่ทางในการทำตลาดใหม่ๆ ที่มีอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
รายละเอียดเพิ่มเติม : บริษัท โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด
สุขกมล งามสม โทร. 0 2691 6302-4, 0 2274 4961-2, 0 89484 9894