กรุงเทพฯ--2 ต.ค.--กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวเปิดงาน “North — East India Trade and Investment Opportunities Week.” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้กล่าวแสดงการต้อนรับและขอบคุณ Mr. Mani Shankar Aiyar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และมุขมนตรีประจำรัฐสำคัญ 8 แห่งในโอกาสที่ได้นำคณะนักธุรกิจอินเดียกว่า 200 ราย เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดงานดังกล่าวที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สร้างความสัมพันธ์และขยายโอกาสการค้าการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (North — East Region - NER) หาแนวทางการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อส่งเสริมการลงทุนของไทยใน NER และเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปี ระหว่างไทย — อินเดีย มีระหว่างกันมาโดยตลอด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจอินเดียว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อินเดียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมาก โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของ GDP มากกว่าร้อยละ 8 ต่อปี ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.1 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่น่าเป็นที่ประหลาดใจเนื่องจากอินเดียมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในสาขาการค้าบริการและภาคอุตสาหกรรม ทำให้อินเดียกลายเป็นแหล่งลงทุนที่สามารถให้ผลกำไรจึงสามารถดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก
ในส่วนของการค้าและการลงทุนกับไทย การค้าระหว่างสองฝ่ายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 1991 (พ.ศ.2534) ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2006 (พ.ศ. 2549) และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ทั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวทางการค้าของสินค้าที่มีการค้าขายเดิม เช่น อัญมณี สิ่งทอและสินค้าเกษตร และสินค้าที่มีการซื้อขายรายการใหม่ๆ รวมทั้งธุรกิจบริการ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ เคมีภัณฑ์ และก่อสร้าง ในส่วนของการลงทุน ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 28 ของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (FDI) ของอินเดีย หรือมีมูลค่าเพียง 78.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 0.16 % ของ FDI ของอินเดีย ในปี 2006 อินเดียเข้ามาลงทุนในไทยเกือบ 71 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่จะอยู่ในสาขาเคมีภัณฑ์ กระดาษ เหล็ก สิ่งทอ สินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมเบา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ไทยมีความเชื่อมั่นว่า FTA ไทย — อินเดีย จะเป็นอีกช่องทางหลักสำคัญที่จะช่วยให้การค้าระหว่างไทย — อินเดีย สามารถขยายตัวได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งความตกลงด้านการค้าสินค้าคาดว่าจะสามารถลงนามได้ทันภายในปีนี้ และเชื่อมั่นว่าโอกาสทางการค้าที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับอัญมณี สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ อะไหล่รถยนต์ การแปรรูปอาหาร การก่อสร้าง พลังงาน การสำรวจก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน อุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูป และยางพารา เป็นต้น
รูปแบบการจัดงานครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจอินเดียกับนักธุรกิจของไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่นักธุรกิจไทยที่สนใจจะเข้าไปทำธุรกิจในอินเดียได้มีโอกาสหาผู้ร่วมทุน นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียตั้งใจให้งานนี้เป็นงานที่ใหญ่และน่าสนใจที่สุดโดยจัดแสดงสินค้าที่อินเดียมีศักยภาพ อาทิ อาหารแปรรูป ชา ยางพารา หัตถกรรม และจักสาน อุตสาหกรรมก่อสร้าง พลังงานและการท่องเที่ยว และจะมีการจัดสัมมนาเรื่อง “โอกาสทางธุรกิจและการค้าในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย” เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับทราบถึงโอกาสการค้า และการลงทุนในสาขาต่างๆ ที่น่าสนใจของอินเดีย ขณะเดียวกัน จะหาลู่ทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น โดยจะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจของแต่ละฝ่ายได้นำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวของไทยและอินเดีย และให้บริษัททัวร์ สายการบินอินเดียและไทย เข้าร่วมแสดงศักยภาพเพื่อให้รู้จักกันมากขึ้น