กรุงเทพฯ--21 พ.ค.--โรงพยาบาลพระรามเก้า
แพทย์หญิงนงนภัส เก้าเอี้ยน
แพทย์ด้านโรคระบบทางเดินหายใจเด็ก
โรงพยาบาลพระรามเก้า
ช่วงเปิดภาคการศึกษาใหม่ ซึ่งตรงกับฤดูฝน โรงเรียนเป็นแหล่งที่เด็กจำนวนมากมารวมตัวกัน ก็มักพบการระบาดของโรคต่างๆ ได้ง่าย เนื่องจากการคลุกคลีอยู่ใกล้ชิดกัน และเด็กบางคนอาจมีภูมิคุ้มกันต่ำจึงทำให้เกิดการติดต่อของโรคได้ง่ายขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเด็กจึงมักจะได้รับเชื้อโรคง่ายกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส รู้หรือไม่ว่ามีไวรัสที่เป็นอันตรายต่อเด็ก แฝงตัวมากับช่วงฤดูฝนที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามคือ เชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus (RSV-อาร์เอสวี) ที่มีลักษณะอาการคล้ายไข้หวัด แต่ส่งผลรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อ ซึ่งไวรัสชนิดนี้ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกัน
แพทย์หญิงนงนภัส เก้าเอี้ยน แพทย์ด้านโรคระบบทางเดินหายใจเด็ก โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อที่ทำให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับอาการว่าจะเป็นมากในช่วงวัยไหน พบในเด็กอายุน้อยตั้งแต่ วัยทารก จนถึงช่วงวัยเข้าอนุบาล โดยประเทศไทยมักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยเด็กๆ จะติดเชื้อไวรัส RSV จากการรับเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากการสัมผัส หรือละอองน้ำมูกของผู้ป่วยคนอื่น มีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน ซึ่งสามารถเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่าง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ (Acute bronchiolitis) และอาจทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ (Pneumonia) โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการปอดบวม ไอ หอบได้ง่าย เด็กจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางครั้งเป็นมาก จะหายใจดัง "วี้ด" ถ้าเป็นมากขึ้นจะมีอาการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้นยังส่งผลให้เด็กบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืดในอนาคตได้อีกด้วย เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัด คือ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก แต่สิ่งที่พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นว่าลูกอาจจะติดเชื้อ RSV ได้แก่ ลูกมีอาการไอมาก ไอถี่ มีเสมหะเยอะและเหนียวข้น หายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง หน้าอกบุ๋ม อาจมีเสียงหายใจดังวี้ดๆ ไม่รับประทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ไม่ดื่มนม มีไข้สูง มักจะซึม หรือหงุดหงิด กระสับกระส่าย เป็นต้น หากลูกมีอาการเหล่านี้ในช่วงที่ไวรัส RSV ระบาด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คอย่างละเอียด แพทย์จะตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด ถ้ามีเสียงวี้ด แพทย์จะพ่นยาขยายหลอดลม รวมถึงการเอ็กซเรย์ปอดในรายที่สงสัยปอดอักเสบ การตรวจหาเชื้อนี้ทำได้ไม่ยาก จะใช้อุปกรณ์พิเศษลักษณะคล้ายก้านสำลียาวๆ เข้าไปป้ายในโพรงจมูก เพื่อส่งไปตรวจหาเชื้อไวรัสคล้ายกับที่ทำในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ในปัจจุบันยังไม่มียารักษา RSV โดยเฉพาะ การรักษาอาการติดเชื้อไวรัส RSV จึงต้องรักษาไปตามอาการที่ป่วย คือ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีอาการหนักอาจต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ ให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ เคาะปอด และอาจจะต้องช่วยดูดเสมหะ หรือถ้ามีอาการรุนแรงมากจะต้องได้รับออกซิเจนหรือใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ หากเด็กมีอาการไม่รุนแรงก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ด้วยการกินยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ในที่สุดร่างกายก็จะสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้เอง ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น RSV แล้ว สามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้ง แต่อาการนั้นก็จะน้อยลง และเนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ทำให้เด็กๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้ง่ายในช่วงที่แพร่ระบาดมากโดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กอยู่กันมากๆ เช่น โรงเรียนอนุบาลหรือ Nursery ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยไม่ป่วยจากโรคนี้ คือ การมีร่างกายที่แข็งแรงและรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ด้วยวิธีการล้างมือบ่อยๆ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนกินอาหาร เพราะไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จาก น้ำลาย น้ำมูก ไอ จาม ไม่ควรให้ลูกอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด โดยเฉพาะหากโรงเรียน หรือ Nursery มีการระบาดอยู่ หมั่นทำความสะอาดของเล่นอยู่บ่อยครั้ง ผู้ป่วยต้องปิดปากหรือใส่หน้ากากอนามัยเวลาไอจามเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด เมื่อลูกต้องอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าไวรัส RSV จะมีอาการรุนแรงมากกว่าไวรัสหวัดทั่วๆ ไป แต่ถ้ารู้วิธีการรักษาและช่วยกันดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรง ก็ปลอดภัยจาก RSV ไวรัสวายร้ายตัวนี้ได้ เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของฮีโร่อย่างคุณพ่อคุณแม่แน่นอน