กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--อินทัช โฮลดิ้งส์
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวนาไทย รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในโครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช โดยให้ความรู้เพื่อพัฒนาคน เสริมจุดแข็งพัฒนาจุดอ่อน การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ สร้างโอกาสและช่องทางการตลาดใหม่ๆ สร้างเสริมเครือข่ายการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มและพัฒนาผลผลิตของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้มีประสิทธิผลสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง อันจะช่วยสร้างรายได้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนนำไปสู่การกินดี อยู่ดี มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐด้านการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศ Smart Agricultural Curve
ในปีนี้ซึ่งนับเป็นปีที่ 7 ของการดำเนินโครงการฯ อินทัชจึงได้จัดงาน "สานความร่วมมือของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืน" โดยมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 5 พื้นที่และ 1 ศูนย์การเรียนรู้มาร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานประกอบด้วย 1.กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกข้าวเพื่อสุขภาพบ้านดักคะนน จังหวัดชัยนาท 2.วิสาหกิจชุมชนปลูกข้าวเพื่อสุขภาพแก่นฝาง จังหวัดขอนแก่น 3.วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทำนาบ้านป่าไหม้ จังหวัดนครศรีธรรมราช 4.วิสาหกิจชุมชนหอมกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี 5.เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนท่างามแสนสุข จังหวัดพิษณุโลก และ 6.เรือนจำชั่วคราวโคกตาบัน สังกัดเรือนจำกลาง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีแนวทางและแผนการทำงาน ดังนี้
- จัดเวทีแลกเปลี่ยนและเติมความรู้
โดยจัดบรรยายและกิจกรรม "ทิศทางแผนการขับเคลื่อนนโยบาย Smart Agricultural Curve" และ "การพัฒนาสินค้าเพื่อการแข่งขันและการสร้างช่องทางการตลาดสมัยใหม่", Workshop การสร้างเครื่องมือทางการตลาดโดยใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) ช่วยทำตลาดออนไลน์โดยเฉพาะกลุ่มตลาดอีคอมเมิร์ซที่ช่วยกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปปรับใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร จัดทำแผนธุรกิจ และเชื่อมโยงตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สนับสนุนการทำงานร่วมกันภายในเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกรวดเร็ว โดยใช้จุดแข็งของแต่ละพื้นที่มาเสริมศักยภาพซึ่งกันละกัน
- สนับสนุนการจัดทำแผนการตลาดของแต่ละกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้สามารถวางแผนการผลิต การจำหน่ายได้อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าจากการแปรรูปเพื่อตอบสนองตามความต้องการของผู้บริโภค การพัฒนาต่อยอดผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP 5 ดาว เป็นต้น
- สนับสนุนเข้าสู่การรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ทั้ง GAP และ Organic Thailand เพื่อจัดการผลผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น สามารถนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาใช้บริหารจัดการและลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเชื่อมกระบวนการทำงานตามภารกิจของหน่วยงานต่างๆ มาช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อาทิ การขนส่งสินค้า การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว การหาตลาดข้าวจากผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ การจับคู่ทางการค้าให้ผู้ซื้อเข้าถึงกลุ่มชาวนาได้โดยตรงไม่ต้องผ่านคนกลาง เพื่อเพิ่มรายได้จากการขายมากขึ้น
- การติดตาม ให้คำปรึกษา และประเมินผลการทำงานของแต่ละกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั้ง 6 พื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุตามแผนงานและผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งไว้
นายเอนก พนาอภิชน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "จากความมุ่งมั่นตั้งใจดำเนินโครงการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 ผมภูมิใจที่อินทัชได้มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีของชาวนาไทยให้ดีขึ้นในแต่ละพื้นที่ จนเกิดผลเป็นรูปธรรมในหลายด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจ ช่วยลดต้นทุนการทำนาและยังสร้างรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดสารเคมีในแบรนด์สินค้าของชุมชนซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน OTOP สามารถแปรรูปสินค้าเพื่อขายในราคาที่สูงขึ้น มีสินค้าเกษตรอื่นๆ มานำเสนอมากขึ้น บางพื้นที่ เช่น วิสาหกิจชุมชนหอมกระเจา จ.กาญจนบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากข้าวแบรนด์หอมกระเจาแล้วยังสร้างรายได้เพิ่มแก่กลุ่มจากการขายสินค้าเกษตรอื่นๆ อีกทำให้รายได้ของกลุ่มชาวนาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้านสังคม ชาวนาสามารถรวมตัวเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีการบริหารจัดการกันเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีผู้มาศึกษาดูงาน เป็นตัวอย่างแรงบันดาลใจแก่พื้นที่อื่นได้เป็นอย่างดี ด้านสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมให้ปลูกข้าวปลอดสารเคมีช่วยคืนสมดุลย์แก่ระบบนิเวศในแปลงนาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์จนได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP เป็นต้น
"การจัดงานสานความร่วมมือของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืนในวันนี้ จึงเป็นการต่อยอดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งจากโครงการที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2555 โดยเราตั้งใจและมุ่งหวังให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทั้ง 6 พื้นที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนการทำงานและประสบการณ์ หนุนเสริมความร่วมมือระหว่างกัน สามารถวางเป้าหมายและแผนงานของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็งและมีความพร้อมในทุกด้าน สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน" นายเอนก กล่าวสรุป