กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--ก.พลังงาน
ก.พลังงาน ประกาศปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดลง 40 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นเบนซิน 95 เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน และลดผลกระทบให้ประชาชน
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก (น้ำมันดิบดูไบ และโอมาน) ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ในระดับ 85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สูงผิดปกติ จนทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยต้องปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงได้ประกาศปรับลดการจัดเก็บอัตราการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันทุกชนิดจากบริษัทผู้ค้าน้ำมันลง 40 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นการเรียกเก็บในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 เพื่อบรรเทาการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ แนวทางการปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันดังกล่าว เป็นการลดผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ ภาครัฐจึงได้ใช้กลไกของกองทุนน้ำมัน ฯ เข้าควบคุมเป็นการชั่วคราว เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบมากนัก โดยกระทรวงพลังงานยืนยันว่า ในระยะยาวจะไม่ใช้วิธีตรึงราคาน้ำมัน โดยจะส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น อาทิ ไบโอดีเซล ที่มีส่วนต่างถูกกว่าน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ ที่ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ถึง 3.50 บาทต่อลิตร และการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์หรือ NGV ซึ่งได้มีการตรึงราคาจำหน่ายที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงสิ้นปี 2551
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า จากการที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 40 สตางค์ต่อลิตร เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ส่งผลให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันยังสามารถตรึงราคาขายปลีกออกไปอีก และล่าสุดบริษัทผู้ค้าน้ำมันมีค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 40 สตางค์ต่อลิตร โดยการลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันดังกล่าว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ และมั่นใจว่าจะชำระหนี้ได้หมดภายในเดือนธันวาคม 2550 นี้
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯมีฐานะลดลง 800 ล้านบาทต่อเดือน ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายได้ จำนวน 4,342 ล้านบาทต่อเดือน และมีรายจ่าย 9,900 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็น ไถ่ถอนพันธบัตร 8,800 ล้านบาทต่อเดือน จ่ายชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมัน 0.1 ล้านบาทต่อเดือน ชำระหนี้ชดเชยราคา LPG 751 ล้านบาทต่อเดือน จ่ายชดเชยราคาน้ำมันบี100 เป็นจำนวน 100 ล้านบาทต่อเดือน จ่ายชำระดอกเบี้ยพันธบัตร 249 ล้านบาทต่อเดือน ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินอยู่ประมาณ 5,572 ล้านบาท และจะจ่ายชำระหนี้หมดภายในเดือนธันวาคม 2550
สำหรับสาเหตุของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ เป็นผลมาจากพายุพัดผ่านแหล่งผลิตน้ำมันของเม็กซิโก ทำให้ต้องหยุดการผลิต แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานและราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับมีปัจจัยสถานการณ์ไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ทั้งอิรักและอิหร่าน แต่ยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง คือ อากาศจะไม่หนาวตามที่คาดไว้ ประกอบกับการที่โอเปค ประกาศที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน รวมทั้งจะมีกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปจากจีนและอินเดียเพิ่มขึ้นก่อนสิ้นปี 2550