กรุงเทพฯ--4 มิ.ย.--คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
15.00 น. 3 มิ.ย. 2561 ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป
ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึง ผลกระทบความเสี่ยงวิกฤติยูโรโซนรอบใหม่และปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะและการเมืองอิตาลี ว่า ขณะนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังจำกัดวงอยู่ที่ตลาดการเงินโลก แม้นวิกฤติการเมืองอิตาลีจะคลี่คลายลงบ้างแต่เชื่อว่าความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลกยังมีอยู่โดยเฉพาะตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เงินยูโรอาจอ่อนค่าลงอย่างมากและอาจเป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีหรือเก็งกำไรได้ หากมีการโจมตีค่าเงินอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้และเศรษฐกิจไทยก็จะหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ยาก
การไหลออกของเงินทุนระยะสั้นจากตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย กระแสเงินทุนไหลออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ของไทยอาจจะไหลออกไปลงทุนในอียูและอิตาลีเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินทรัพย์ในอิตาลีและอียูจะปรับตัวลง ผลกระทบจะขยายวงไปสู่ภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจจริงหรือไม่อยู่ที่ว่า ปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะและการเมืองอิตาลีนำไปสู่แรงกดดันให้เกิดการถอนตัวออกจากยูโรโซนหรือไม่และอิตาลีสามารถทำตามแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจและมาตรการรัดเข็มขัดเพื่อแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์คิดเป็น 130% ของจีดีพีได้หรือไม่
หากอิตาลีไม่สามารถทำได้ตามเงื่อนไขของอียูกำหนดเอาไว้ ปัญหาผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกจะรุนแรงกว่ากรณีของวิกฤติหนี้สินของกรีซที่ประทุขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 เนื่องจากปริมาณหนี้สาธารณะที่ใหญ่กว่าเกือบ 5 เท่า ความเสี่ยงอีกประการหนึ่ง คือ การจัดการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆนี้ มีความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนการถอนตัวออกจากอียูอาจชนะการเลือกตั้งนำไปสู่การลงประชามติเพื่อออกจากยูโรโซนได้แบบ BREXIT (อังกฤษออกจากอียู)
ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ในอิตาลี จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ระบบยูโรโซนจะดำรงอยู่ด้วยความมั่นคงหรือไม่ หากพรรคไฟว์สตาร์และพันธมิตรที่มีนโยบายต่อต้านอียูชนะ
เลือกตั้งด้วยเสียงเพิ่มขึ้นจะสั่นคลอนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ (Economic Integration) กระตุ้นให้กระแสการต่อต้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ การต่อต้านทุนนิยมโลกาภิวัตน์จะเติบโตขึ้นอีก การค้าการลงทุนโลกจะเติบโตลดลงพร้อมกับกำแพงภาษีการค้าการลงทุนที่อาจสูงขึ้นและการขยายตัวของแนวคิดแบบลัทธิกีดกันทางการค้า (Trade Protectionism) และ ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ขณะที่กระแสชาตินิยมขวาจัดจะเพิ่มขึ้นในยุโรปแม้นกระแสเสรีนิยมและสังคมนิยมประชาธิปไตยจะยังมีบทบาทอยู่ก็ตาม นอกจากนี้โลกาภิวัตน์ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ภูมิภาคนิยมไร้พรมแดนจะถูกท้าทายโดยกระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่เน้นอธิปไตยทางเศรษฐกิจเหนือความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกันของภูมิภาค โดยกระแสนี้จะไม่ลุกลามมายังอาเซียนตราบเท่าที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทางลบจากการเปิดเสรีได้รับการดูแลให้สามารถปรับตัวได้
ดร. อนุสรณ์ เสนออีกว่า ปัญหาวิกฤติการเมืองในอิตาลี ให้บทเรียนต่อไทยว่า การแก้ปัญหาด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เป็นไปอย่างสันติวิธีด้วยกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนและวิธีการทางประชาธิปไตยย่อมทำให้ปัญหาไม่ลุกลามซับซ้อนและนำมาสู่ความขัดแย้งรุนแรงในภายหลัง
ไทยส่งออกไปอียูคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-11% ของมูลค่าส่งออก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอิตาลีและอียูอาจจะชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ขณะที่ประเทศไทยส่งออกไปประเทศอิตาลี เพียงประมาณ 0.8% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดแต่มีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมการส่งออกต่อเนื่องไปยังอียูมากโดยสินค้าส่งออกหลัก คือ อาหารแปรรูป อัญมณีเครื่องประดับ เสื้อผ้าเครื่องหนัง รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะอดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเตือนว่า การอ่อนแอลงของเศรษฐกิจอิตาลีและยูโรโซนจะทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้และจะมีการชะลอมาตรการ QE EXIT ภาวะดังกล่าวจะกดดันให้เงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักและเงินบาท เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีกส่งผลกระทบต่อกิจการส่งออกที่ปรับตัวไม่ทัน และ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนด้วยความระมัดระวังความเสี่ยงไม่ให้เกิดการขาดทุนทางบัญชีเพิ่มสูงมากเกินไป แม้นการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเกิดจากการทำหน้าที่ตามพันธกิจของการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขการขาดทุนสะสมทางบัญชีจำนวนหลายแสนล้านบาทย่อมสร้างความวิตกกังวลได้ การขาดทุนจากการที่เงินบาทแข็งค่าและเงินสกุลหลักในทุนสำรองไม่ว่าจะเป็นเงินดอลลาร์และเงินยูโรอ่อนลง การขาดทุนดังกล่าวจะลดลงหากภาคธุรกิจพร้อมรับความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนและแบงก์ชาติมีภาระบริหารจัดการการแข็งค่าของเงินบาทด้วยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์หรือยูโรลดลง หรือ ควรนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งมาทบทวนดูว่าควรนำเงินสำรองระหว่างประเทศบางส่วนไปลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจแทนการถือครองเงินดอลลาร์เงินยูโรหรือไม่
ขณะนี้ ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 2.15 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งมีมากเกินความจำเป็น ควรนำมาจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารผลตอบแทน นำรายได้ไปลงทุนเพื่อประโยชน์ของประชาชน ดูแลสวัสดิการและแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ แต่การดำเนินการนี้จะต้องมีการกำกับควบคุมที่ดีและมีธรรมาภิบาล เงินสำรองนั้นโดยหลักการต้องเป็นเงินที่มีสภาพคล่องสูง การมีสัดส่วนเงินสกุลหลักในทุนสำรองระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องมีมากจนเกินความจำเป็นและมีต้นทุนในการถือครองจากการด้อยค่า การกำหนดให้มีเงินสกุลต่างประเทศสกุลหลักหนุนหลังเงินบาทนั้น เป็นแนวคิดแบบเก่าเพื่อให้แบงก์ชาติมีวินัยทางการเงินไม่พิมพ์เงินบาทออกมามากเกินไป ทำให้เงินบาทเสื่อมค่าลงและขาดความน่าเชื่อถือ แต่ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน แบงก์ชาติก็สามารถควบคุมให้เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ ความเชื่อมั่นต่อเงินบาทจึงขึ้นอยู่ความเชื่อมั่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายได้ในระยะยาว การมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ก็เกินพอสำหรับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยแล้ว เรื่องนี้ทางการไทยถูกตั้งคำถามโดยกองทุนการเงินระหว่าประเทศว่า ทำไมจึงไม่นำเงินสำรองระหว่างประเทศมากเกินพอดีไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน