กรุงเทพฯ--13 ก.ย.--พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ชี้ รัฐเดินมาถูกทางในนโยบายเรื่องรถไฟฟ้า เชื่อมั่นโครงการรถไฟฟ้าต้องเดินหน้าต่อ เพียงแต่ต้องแก้ปัญหาเรื่องการจัดการเพื่อลดต้นทุน และศึกษา EIRR ตัวเลขผู้โดยสารรวมทั้งภาวะราคาน้ำมันอีกครั้งก่อนตัดสินใจ เผยบริษัทยังมีที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายอื่นที่ดำเนินการอยู่ ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์ และ ปลายทางบีทีเอส
นายซายนิค โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้มีแผนการปรับเปลี่ยนโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) และสายสีส้ม (บางกะปิ-บางบำหรุ) นั้น เชื่อมั่นว่า ในที่สุดแล้วรัฐบาลจะต้องตัดสินใจดำเนินโครงการรถไฟฟ้าต่อไป ไม่ว่าจะออกมาเป็นระบบ Heavy Rail หรือ Light Rail ก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมา นโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่อย่างรถไฟฟ้ามาโดยตลอดนั้น ถือว่าเป็นการเดินมาอย่างถูกทางแล้ว เนื่องจากเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ที่ตั้งความหวังในเรื่องการจราจรไว้กับโครงการรถไฟฟ้า
"หากมองดูเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ จะเห็นว่าการใช้ชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองต่างๆ เหล่านี้ อาศัยโครงการขนส่งมวลชนระบบรางในการเดินทางทั้งสิ้น สำหรับกรุงเทพฯ ในขณะนี้ เรามีจำนวนประชากรถึง 12 ล้านคน รวมทั้ง ยังมีสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบรถไฟฟ้าในลักษณะครบวงจรมารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเส้นทางสายหลักของการขนส่งผู้โดยสารจากชานเมืองรวมทั้งปริมาณฑลเพื่อเข้ามาในเมือง เพียงแต่รัฐจะต้องศึกษาเพื่อหาทางออก ทั้งในการก่อสร้างและการจัดการเพื่อลดต้นทุนลง รวมทั้งการจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการด้วย"
ในส่วนของโครงการของบริษัทฯ ที่อยู่บนแนวเส้นทางรถไฟฟ้านั้น นายชายนิดกล่าวว่า บริษัทฯ มีที่ดินบนถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็นแนวเส้นทางสายสีม่วง 500 ไร่ แต่ก็ยังมีโครงการในแนวรถไฟฟ้าสายอื่นที่กำลังดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็น แอร์พอร์ตลิงค์ พญาไท-สุวรรณภูมิ โดยมีที่ดินบนทำเลอ่อนนุช 300 ไร่ และ พัฒนาการ 200 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีที่บริเวณตากสิน ปลายเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอสอีก 100 ไร่ สำหรับผลกระทบต่อการขายโครงการนั้น กล่าวได้ว่าไม่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของลูกค้า ทั้งนี้ เนื่องจากที่ตั้งโครงการของบริษัทฯ เป็นทำเลที่มีศักยภาพสำหรับการอยู่อาศัยอยู่แล้ว เพียงแต่การที่โครงการอยู่บนแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ก็จะเป็นการนำมาซึ่งความสะดวกสบายมากขึ้นในอนาคตเท่านั้น
นอกจากนี้ ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า การศึกษาวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้านั้น เรื่องของจำนวนผู้โดยสารและราคาน้ำมัน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เท่าที่ได้ดูตัวเลขที่รัฐใช้ในการศึกษาวิเคราะห์โครงการ เข้าใจว่าเป็นตัวเลขเดิมที่ศึกษาไว้นานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้โดยสารที่จะใช้บริการ ที่ต่ำกว่า 10,000 คนต่อชั่วโมง ซึ่งในปัจจุบัน จำนวนประชากรในแนวเส้นทางทั้ง 2 เส้นทางน่าจะสูงกว่านั้น เนื่องจากมีการขยายตัวของประชากรในพื้นที่ดังกล่าวอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงน่าจะต้องมีการสำรวจตัวเลขที่ชัดเจนในชั่วโมงเร่งด่วนอีกครั้งก่อนการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันจริงๆ
"ยิ่งดูตัวเลขในเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งในขณะที่ทำการศึกษา ราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแต่ในขณะนี้ราคาพุ่งขึ้นถึง 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถือว่าเป็นภาวะที่ราคาน้ำมันค่อนข้างเข้าชั้นวิกฤต จึงยิ่งน่าจะต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่สามารถขนส่งผู้โดยสารได้จำนวนมากอย่างรถไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยในแง่ของการประหยัดพลังงานของประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งในระยะยาวยังช่วยเรื่องการขาดดุลการค้าด้วย ในส่วนของผลตอบแทนของโครงการนั้น หากพิจารณาในเรื่องของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว โครงการรถไฟฟ้าจะให้ผลตอบแทนทั้งในรูปของการประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าทางด่วน รวมทั้งยังประหยัดเวลาในการเดินทาง ซึ่งหากวิเคราะห์เป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนทางเศรษฐกิจ (EIRR) แล้ว ตัวเลขน่าจะสูงกว่า 20% แน่นอน" ดร.ธีระชนกล่าวสรุป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ติดต่อ
คุณตุลยา คุณวรสุดา
โทร 02 2477500 ต่อ 1951-2--จบ--